สำรวจแรงงานอาชีวะขาดบุคลากรช่างกลโรงงาน
เตรียมปรับหลักสูตรให้ นศ.ฝึกงานในสถานประกอบการ
น.ส.นริศราชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อร่วมผลิตและพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการภาคอุตสาหกรรม โดยตนได้แจ้งกับ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าขอให้แจ้งตัวเลขความต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรมที่แท้จริงเพื่อที่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะได้ไปกำหนดนโยบายและแนวทางผลิตนักศึกษาในสาขาที่ขาดแคลน และพัฒนานักศึกษาได้ตรงความต้องการของตลาดแรงงานและภาคอุตสาหกรรม
น.ส.นริศรา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้สำรวจความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมหลัก 6 อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ และเครื่องจักรกลการเกษตร พบว่า ในระยะเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2554-2558) ในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 6 กลุ่มดังกล่าวนั้น มีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น 248,862 คน คิดเป็นร้อยละ 19.26 จากการจ้างงานรวมปี 2553 จำนวน 1.29 ล้านคน ทำให้ตัวเลขการจ้างงานรวมของ 6 กลุ่มอุตสาหกรรมในปี 2558 เป็นจำนวน 1.54 ล้านคน แบ่งเป็นระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 จำนวน 131,628 คน คิดเป็นร้อยละ 52.89 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จำนวน 37,829 คน คิดเป็นร้อยละ 15.20 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จำนวน 51,813 คน คิดเป็นร้อยละ 20.82 และระดับปริญญาตรี จำนวน 27,591 คน คิดเป็นร้อยละ 11.09
น.ส.นริศรา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ความต้องการแรงงานในระดับ ปวช. และ ปวส. สาขาที่ต้องการมากที่สุดคือ สาขาช่างกลโรงงาน จำนวน 49,813 คน คิดเป็นร้อยละ 55.57 รองลงมาคือ สาขาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 17,885 คน คิดเป็นร้อยละ 19.95 และสาขาช่างยนต์ จำนวน 10,356 คน คิดเป็นร้อยละ 11.55 สำหรับระดับปริญญาตรี มีความต้องการในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ 27,591 คน โดยร้อยละ 80 ต้องการสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ เครื่องกล ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และแมคคาทรอนิกส์ ขณะที่สาขาอื่นๆ เช่น บัญชี การเงิน กฎหมาย และงานธุรการ ต้องการเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น
"จากข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการผลิตนักศึกษาของอาชีวศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะการผลิตนักศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการภาคอุตสาหกรรมทั้ง 6 กลุ่ม ซึ่งแต่ละวิทยาลัยนั้นอาจจะต้องไปปรับในส่วนของเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนที่จะต้องให้ 3 เดือนสุดท้ายของการเรียนนักเรียน นักศึกษานั้นจะต้องได้เข้าไปฝึกงานในสถานประกอบการที่ต้องการแรงงานดังกล่าวเพื่อให้ได้ประสบการณ์จริง และยังได้ค่าตอบแทน ที่สำคัญหากมีฝีมือมีคุณภาพสถานประกอบการจะพิจารณาเข้าทำงานได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ข้อมูลเช่นนี้ก็อาจจะไปจัดสรรโควตาให้แก่วิทยาลัยจัดสรรนักศึกษาเพื่อเข้าฝึกงานในสถานประกอบการด้วย ซึ่งสามารถจัดสรรเพื่อให้นักศึกษาอาชีวะเริ่มฝึกงานได้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553" น.ส.นริศรา กล่าว