คำพิพากษาฎีกาที่ 691/2552
รับประทานอาหารในพื้นที่ต้องห้าม เลิกจ้างเป็นธรรมจ่ายค่าชดเชย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานตรวจแรงงานโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานเตรียมงาน แผนกพีพี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นรายวัน วันละ 175 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 10 และวันที่ 25 ของเดือนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์นำข้าวมารับประทานในบริเวณโรงงานชั้น 1 อันฝ่าฝืนประกาศคำสั่งของจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 ที่ห้ามลูกจ้างนำของกินมาในโรงงานและห้ามเข้ามากินของในโรงงานโดยเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษเลิกจ้าง และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2545หมวดที่ 7 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 1.41 ห้ามนำอาหาร เครื่องดื่มและผลไม้ไปรับประทานบนโรงงาน โจทก์ไม่เคยทราบว่าจำเลยที่ 2 มีประกาศห้ามนำอาหาร เครื่องดื่ม และผลไม้เข้ามารับประทานในบริเวณโรงงานโดยเด็ดขาดเพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้ปิดประกาศไว้ และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานไม่ได้ระบุว่าการฝ่าฝืนกรณีนี้เป็นความผิดกรณีร้ายแรงและลงโทษโจทก์ได้เพียงการว่ากล่าวตักเตือนเพราะโจทก์ไม่เคยกระทำผิดและไม่เคยถูกลงโทษมาก่อนการกระทำของโจทก์ไม่เป็นฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งในกรณีร้ายแรง จำเลยที่ 2 ลงโทษเลิกจ้างโจทก์รุนแรงเกินไป ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งที่ 45/2548 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2548 ให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์นั้นชอบแล้วแต่ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ชอบการที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 45/2548 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2548 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ให้จำเลยที่ 1 มีคำสั่งใหม่ให้จำเลยที่ 2 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามคำร้องของโจทก์ที่ยื่นไว้ต่อจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าดังกล่าวและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 36,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2548 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า การที่โจทก์นำข้าวเข้ามารับประทานในโรงงานเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในการทำงานและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างซึ่งโจทก์ทราบระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแล้ว โจทก์ทราบสาเหตุที่จำเลยที่ 2 ประกาศห้ามลูกจ้างนำของกินเข้ามาในโรงงานและห้ามเข้ามากินของในโรงงานโดยเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษเลิกจ้าง ว่าเกิดจากสินค้ากระเป๋าของจำเลยที่ 2 ซึ่งผลิตในประเทศจีนถูกลูกค้าส่งคืนเพราะมีเศษชิ้นส่วนพลาสติกห่อขนมปนไปกับสินค้าที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าชอบแล้วขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องถึงเหตุที่กล่าวอ้างว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและเรียกค่าเสียหายมาลอยๆ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2548 โจทก์นำอาหารเข้ามารับประทานในบริเวณชั้น 1 ของโรงงาน เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2545 ที่ห้ามนำอาหาร เครื่องดื่ม และผลไม้ขึ้นไปรับประทานในโรงงาน และคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 และจำเลยที่ 2 ปิดประกาศแล้วและชี้แจงให้หัวหน้างานทราบ โจทก์จะอ้างว่าไม่ทราบประกาศห้ามนำอาหารเข้ามารับประทานในบริเวณโรงงานไม่ได้ โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและจงใจขัดคำสั่งของจำเลยที่ 2 อันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงเลิกจ้างโจทก์ได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และมีเหตุสมควรที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 แถลงขอสละประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุม
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ประกอบกิจการผลิตกระเป๋าส่งไปจำหน่ายในต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 7.50 นาฬิกา โจทก์นำอาหารบรรจุถุงพลาสติกเข้าไปรับประทานในอาคารชั้น 1 ของโรงงานบริเวณประตุด้านหลัง จำเลยที่ 2 จึงเลิกจ้างโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.6 สินค้าที่มีเศษพลาสติกปะปนไปผลิตจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในประเทศไทยยังไม่เคยมีเหตุการณ์ดังกล่าว การรับประทานอาหารของโจทก์ไม่ได้ทำให้มีเศษอาหารหรือเศษพลาสติกปะปนไปกับสินค้าของจำเลยที่ 2 โจทก์ทราบระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.4 (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2545) หมวดที่ 7 ว่าด้วยวินัยพนักงานข้อ 41 ที่ระบุว่า ห้ามพนักงานนำอาหาร เครื่องดื่ม และผลไม้ขึ้นไปรับประทานบนโรงงานซึ่งโทษทางวินัยข้อ 2 ระบุไว้ในวรรคสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2สงวนสิทธิที่จะลงโทษพนักงานตามความร้ายแรงของการกระทำความผิดโดยไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับ โจทก์ไม่ทราบประกาศลงวัน 14 กุมภาพันธ์ 2548 เอกสารหมาย ล.3 เรื่องห้ามพนักงานนำของกินเข้ามาในโรงงานและห้ามกินของในโรงงานโดยเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนจะไม่มีการตักเตือนจะลงโทษโดยการให้ออก แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ลงโทษเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องเรียงลำดับโทษตั้งแต่ตักเตือนด้วยวาจา ตักเตือนเป็นหนังสือ พักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง ให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก การกระทำของโจทก์เป็นการจงใจขัดคำสั่งของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า การที่โจทก์นำอาหารเข้าไปรับประทานในโรงงานในขณะที่ไม่ใช่เวลาปฏิบัติงานเป็นเพียงการฝ่าฝืนวินัย จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยยังไม่มีเหตุอันสมควรและจำเป็นเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลย (ที่ถูก จำเลยที่ 2) ชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันได้ความว่า จำเลยที่ 2 ออกประกาศเอกสารหมาย ล.3 เนื่องจากกระเป๋าของจำเลยที่ 2 ที่ผลิตในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนบรรจุหีบห่อสำเร็จส่งไปประเทศญี่ปุ่นมีเศษพลาสติกห่อของกินปะปนอยู่ด้วย ทำให้ลูกค้าไม่พอใจส่งสินค้ากลับคืนมามีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่ารายได้หลักของจำเลยที่ 2 มาจากสินค้ากระเป๋า การที่จำเลยที่ 2 ออกระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.4 หมวดที่ 7 วินัยพนักงาน ข้อ 41 ระบุว่าห้ามนำอาหาร เครื่องดื่ม และผลไม้ขึ้นไปรับประทานบนโรงงาน ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าที่จำเลยที่ 2 ผลิต เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเคยมีเศษพลาสติกห่อของกินปะปนอยู่ในหีบห่อของกระเป๋าสินค้าที่จำเลยที่ 2 ผลิตที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนส่งไปขายที่ประเทศญี่ปุ่น จนถูกลูกค้าส่งสินค้ากลับคืนมา จึงมีเหตุสมควรที่จำเลยที่ 2 ออกระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานห้ามพนักงานนำอาหาร เครื่องดื่ม และผลไม้ไปรับประทานบนโรงงานเพื่อป้องกันไม่ให้เศษอาหารหรือวัสดุห่ออาหาร เครื่องดื่ม และผลไม้หลงปะปนไปกับสินค้าของจำเลยที่ 2 ซึ่งทำให้ลูกค้ารังเกียจความสกปรกในสินค้า อันก่อความเสียหายแก่ชื่อเสียงและรายได้หลักของจำเลยที่ 2 ได้ การที่โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อนี้จึงเป็นเหตุสมควรที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ยกเหตุไม่ทราบและไม่เคยเห็นประกาศเอกสารหมาย ล.3 ขึ้นอ้างเพื่อทำให้ประกาศดังกล่าวใช้บังคับแก่โจทก์ไม่ได้หรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง