สปส.เตรียมปรับรูปแบบบัตรประกันสังคมแบบใหม่ ใช้ได้ทุกโรงพยาบาล
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่า ขณะนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กำลังเจรจราและทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลในสังกัด เกี่ยวกับนโยบายการเปลี่ยนบัตรประกันสังคม จากเดิมที่เป็นบัตรอ่อน มาเป็นบัตรสมาร์ทการ์ด เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ประกันตนในการเข้ารักษาพยาบาลในสังกัด โดยบัตรดังกล่าวจะเชื่อมโยงข้อมูลของผู้ถือบัตรกับสถานพยาบาลต่างๆ คล้ายกับการใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวในระบบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่สามารถเข้ารักษาพยาบาลได้ทุกโรงพยาบาลโดยไม่มีเงื่อนไข
ทั้งนี้ ภายในบัตรยังมีข้อมูลในส่วนอื่นๆ ที่เป็นเรื่องสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนด้วย อาทิ ข้อมูลการจ่ายเงินสมทบเงินของนายจ้างและเงินบำเหน็จบำนาญที่จะได้รับ ซึ่งการใช้บัตรแบบใหม่นี้ ยังจะสามารถป้องการทุจริตการใช้สิทธิซ้อน โดยมีการใช้บัตรคนอื่นมาใช้สิทธิการรักษาได้อีกด้วย
ประกันสังคม ย้ำ! ไม่แยกกองทุนชราภาพ
สปส. เผยไม่แยกกองทุนชราภาพ ออกจากสปส. ระบุไม่ขาดสภาพคล่อง ยังมั่นคงไม่ติดลบชี้แยกบัญชีชัดเจนไม่เป็นปัญหา
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายแสดงความคิดเห็น ให้แยกกองทุนชราภาพเป็นอิสระ โดยไม่ต้องขึ้นกับกองทุนประกันสังคม เพื่อป้องกันการนำเงินในส่วนกองทุนชราภาพ ไปอุดหนุนและทดแทนกองทุนอื่นที่อยู่ภายใต้กองทุนประกันสังคม จนทำให้ขาดสภาพคล่องว่า กองทุนชราภาพมีความมั่นคงที่จะไม่ติดลบ เนื่องจากกองทุนประกันสังคม แยกบัญชีการเงินเป็น 3บัญชี ได้แก่ บัญชีกรณีเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตายและสงเคราะห์บุตร, กรณีว่างงานและกรณีชราภาพ จึงไม่เกิดปัญหาการนำเงินกันไปมาอย่างที่เข้าใจ
นอกจากนี้ เงินสะสมในกองทุนชราภาพยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้มีกว่า 6 แสนล้านบาท ทั้งนี้ คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) ยังไม่เห็นความจำเป็น ที่จะแยกกองทุนชราภาพให้เป็นอิสระ รวมทั้งยังไม่มีการพูดคุยในเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าอีก 20 ปีข้างหน้า สปส.อาจประสบกับปัญหาการจ่ายบำนาญชราภาพ เนื่องจากปัจจุบันนายจ้างและลูกจ้างจ่ายเงินสมทบร้อยละ 3 เมื่อครบกำหนดเกษียณอายุ 55 ปี ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญร้อยละ 20 ถือว่าเป็นจำนวนที่มาก
ขณะนี้สำนักงานประกันสังคม อยู่ระหว่างการหาข้อมูลและทำวิจัยเพื่อหาข้อสรุป ส่วนที่ลูกจ้างกว่าร้อยละ 68 ต้องการบำเหน็จมากกว่าบำนาญ สปส.ไม่ขัดข้อง และเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อกองทุนชราภาพ แต่อยากถามกลับว่า หากผู้ประกันตนใช้เงินบำเหน็จหมดในเวลาไม่กี่ปี จะทำเช่นใดต่อไป
ด้านนายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) กล่าวว่า ในหลักการบริหารงานของกองทุนประกันสังคมนั้น จะเน้นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ในการจ่ายเงินแก่ผู้ประกันตน ซึ่งจากหลักการดังกล่าวได้มีผลการศึกษายืนยันแล้วว่า อาจจะเกิดปัญหาได้ในอนาคต หากไม่มีการแก้ไข
ทั้งนี้วิธีการแก้ปัญหาในตอนนี้ เห็นว่ามี 2 แนวทางที่สามารถทำได้ คือ ยังคงยึดหลักการดังกล่าวต่อไป แต่ต้องหามาตรการเสริม หรือที่เรียกว่าการจ่ายบำนาญโดยกำหนดสิทธิประโยชน์ล่วงหน้า เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กองทุน เช่น การเพิ่มเงินสมทบหรือขยายระยะเวลาในการรับสิทธิจากอายุ 55 ปี เป็น 60-65 ปี
โดยแนวทางการเปลี่ยนจ่ายเงินสมทบใหม่ ในลักษณะจ่ายเงินเท่าไรได้เงินออมเท่านั้น ซึ่งดีตรงที่ว่ากองทุนไม่ต้องแบกรับภาระมากนัก แต่ผลเสียจะตกอยู่ที่ผู้ประกันตนที่มีรายได้น้อยที่หวังพึ่งเงินออมจากกองทุนชราภาพ ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ตนไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังไม่มีการกำหนดแนวทางว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร คงต้องมีการประชุมในบอร์ด สปส.และทำประชาพิจารณ์ก่อน