เกษียณไม่เร็ว แถมยังไม่รวย (เคล็ด(ไม่)ลับ สู่ความมั่งคั่ง)
อาทิตย์ที่ผ่านมา หลายท่านคงได้ยินได้ฟังเรื่องราวการประท้วงคัดค้านแผนการยืดเวลาเกษียณของสหภาพแรงงานในฝรั่งเศสกันอยู่บ้าง
คนกว่า 2 ล้านคนรวมตัวกันนัดหยุดงานประท้วง เพื่อต่อต้านกฎหมายที่จะยืดอายุเกษียณการทำงานของพวกเขา จาก 60 ปี เป็น 62 ปี (เดิมมีแผนจะเป็น 65 ปี เสียด้วยซ้ำ) เรียกว่าได้พักผ่อนช้าลงไป 2 ปี นั่นเอง
คำถาม คือ เกิดอะไรขึ้น? ทำไม? รัฐบาลต้องยืดการเกษียณอายุของประชาชนออกไป
คำตอบง่ายๆของคำถามข้างต้นก็คือ เพราะรัฐบาลไม่สามารถจ่ายสวัสดิการชราภาพได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ (defined benefit) ได้นั่นเอง
ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจกับสวัสดิการชราภาพที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกสักหน่อยก่อน กองทุนประกันสังคม (อาจหมายรวมถึง กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการในบ้านเราด้วยก็ได้) เป็นกองทุนที่บริหารงานโดยรัฐ โดยให้ผู้ประกันตนส่งเงิน "สะสม"?เข้าไว้ในกองทุน โดยรัฐจะทำหน้าที่เป็นผู้ "สมทบ" ทุนให้ตามสัดส่วนที่กำหนด
ฟังแล้วก็น่าจะดี แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกท่านควรทราบไว้ก็คือ กองทุนในลักษณะนี้เป็นกองทุนประเภท unfunded นั่นคือ ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายผลประโยชน์ทดแทนตามที่สัญญาไว้ทั้งหมดได้ อยู่ได้ด้วยระบบ "รับมา-จ่ายไป" หรือ Pay As You Go
อธิบายความได้ง่ายๆว่า เมื่อไม่ได้มีเงินสำรองมากพอที่จะจ่ายคืนผลประโยชน์ให้กับทุกคนที่เข้าระบบประกันสังคมได้ ก็ใช้วิธีการนำเงินสะสมจากคนที่กำลังทำงานอยู่ ไปเลี้ยงดูคนแก่ที่เกษียณอายุไป
อีกนัยหนึ่งคือ เป็นระบบที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนทำงานส่งเงินเลี้ยงคนแก่ แล้วหวังว่าเมื่อตัวเองแก่ตัวลง ก็จะมีคนส่งเงินให้ตัวเองบ้าง
ลักษณะดังกล่าวฟังแล้วคล้ายกับการหากินที่ไม่สุจริตอย่างหนึ่งที่เราๆท่านๆ เคยได้ยินกัน นึกออกไหมครับว่า อะไร?
ถูกต้องครับ "แชร์ลูกโซ่" ยังไงยังงั้นเลย แต่อาจมองดูดีกว่าหน่อยที่เป็นการประยุกต์เพื่อประโยชน์ด้านชีวิตและความเป็นอยู่ แต่เชื่อว่าคนที่รู้เรื่อง?โดยเฉพาะคนที่กำลังทำงานส่งเงินเข้าระบบอยู่ อาจจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
แล้วมันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับฝรั่งเศส?
จริงๆแล้วต้องบอกเลยว่า ไม่ใช่เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่กำลังเกิดปัญหานี้ อเมริกา ประเทศยุโรปอื่นๆ ที่ใช้ระบบประกันสังคม แม้แต่ไทยเราเอง ก็กำลังจะก้าวเข้าสู่ปัญหานี้เช่นกัน สาเหตุหลัก 2 ประการสำคัญ ก็คือ
หนึ่ง คนเรามีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์และสาธารณสุขขั้นพื้นฐานต่างๆ ที่ดีขึ้น และแน่นอนว่าเมื่อคนเรามีอายุยืนยาวขึ้น รัฐบาลก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเหล่านี้มากขึ้น แทนที่จะอยู่ก้นได้ไม่นานก็จากไป กลายเป็นต้องมีค่าเลี้ยงดูกันนานขึ้น
ยิ่งตั้งแต่ปี 2008 ที่ผ่านมา ที่คนในยุคเบบี้บูม (Baby Boom) เริ่มทยอยเกษียณอายุกัน ทำให้กองทุนดังกล่าวต้องทยอยจ่ายเงินสวัสดิการชราภาพก้อนใหญ่มหึมา ส่งผลต่อเสถียรภาพของกองทุนมากพอสมควร
สาเหตุประการที่สองก็คือ ประชากรมีอัตราการเกิดน้อยลง ทำให้มีคนวัยทำงานน้อยลง อันนี้เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะในต่างประเทศ บ้านเราก็มีแนวโน้มเดียวกัน สังเกตได้จากการที่หลายๆ ครอบครัว ตัดสินใจที่จะไม่มีลูก หรือมีลูกเฉลี่ยก็ต่ำลง โดยปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ครอบครัวละ 1.6 คนเท่านั้น
เมื่อคนเกิดน้อยลง คนทำงานส่งเงินเลี้ยงคนแก่ก็เลยน้อยลงตามไปด้วย ยิ่งตายช้ากันอีกยิ่งหนักเลยทีนี้ จากข้อมูลในอดีตปี 1960 คนแก่ในอเมริกา 1 คน จะมีคนทำงานเลี้ยงดู 5 คน ลดลงมาเหลือ 3 คนต่อคนแก่ 1 คนในปัจจุบัน
และคาดการณ์กันว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าตัวเลขคนทำงานต่อคนแก่จะเหลือเพียง 2:1 ซึ่งนั่นจะส่งผลให้รายรับของกองทุนประกันสังคมของอเมริกาจะต่ำกว่ารายจ่าย ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป
เมื่อแนวโน้มเป็นเช่นนี้ ทางออกของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหานี้คงมีทางเลือกได้ไม่มากนัก อันดับแรกลืมเรื่องการล้มกองทุนประกันสังคมไปได้เลย เพราะนั่นกระทบต่อฐานเสียงของรัฐบาลที่ประกาศเรื่องนี้อย่างมาก
ดังนั้นทางเลือกที่(มัก)?ง่ายที่สุด ก็คือ
หนึ่ง ยืดเวลาให้คนทำงานกันนานขึ้น เพื่อที่จะได้มีเงินสะสมเข้ามามากพอเลี้ยงดูคนแก่ได้ ในแผนการว่ากันว่า ถ้าอายุยืนยาวกันมากนัก อาจได้เห็นเกษียณอายุกันที่ 65 ปี ในอนาคตอันใกล้นี้
หนทางนี้ถือได้ว่า ยิงปืนครั้งเดียวได้นกสองตัว เพราะนอกจากจะยืดเวลาการจ่ายเงินให้กับคนแก่ เพราะต้องทำงานนานขึ้นแล้ว ยังสามารถเก็บเงินสะสมได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
สอง ผลักภาระจากระบบกำหนดเงินทดแทน หรือ defined benefit อย่างเช่นกองทุนประกันสังคม และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการให้น้อยลงไปอีก โดยการตัดสิทธิประโยชน์บางอย่างให้น้อยลงไป หรือไม่ก็ผลักให้ประชาชนไปใช้กองทุนเกษียณอายุที่รัฐบาลไม่ต้องแบกภาระ เช่นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุ อื่นๆ เช่น กองทุน RMF และ LTF
ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเป็นการผลักภาระให้ประชาชนดูแลตัวเอง ผ่านเครื่องมือที่กำหนดขึ้น ใครออมมากก็มีใช้ยามแก่มาก ใครออมน้อย ก็มีใช้น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะเสมอไป เพราะท่านก็คงรู้กันดีแล้วว่า กองทุนรวมเป็นเครื่องมือลงทุนที่เรา "ควบคุม" อะไรมันไม่ได้เลย ดังนั้น ออมมาก อาจจะมีเหลือใช้น้อยก็ได้
ทั้งหมด คือสภาวการณ์ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่พวกเขาก้าวเข้าสู่สังคมคนชราแล้ว (ประชากรวัย 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 10% ของประชากรทั้งหมด) ซึ่งในไม่ช้าไม่นาน สวัสดิการคนชราในสังคมเราก็จะต้องเจอกับปัญหานี้เช่นกัน
คำถามมีอยู่ว่า เมื่อถึงวันนั้น ชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไร คำตอบง่ายๆ อยู่ที่การตัดสินใจในวันนี้ว่า ท่านต้องการให้ใครเป็นผู้ควบคุมอนาคตทางการเงิน ระหว่าง "ตัวท่านเอง"?หรือ "คนอื่น"