คำพิพากษาฎีกาที่ 6097/2551
อนุมัติสินเชื่อภายในวงเงิน แม้ภายหลังเป็นหนี้เสียไม่ถือว่ากระทำผิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด โจทก์มอบอำนาจให้นายขจรเกียรติ พุฒซ้อน และนายอาคม ปรีชาวุฒิ เป็นผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยเริ่มเข้าทำงานเป็นพนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม 2538 โจทก์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยดำรงตำแหน่งรักษาการผู้จัดการสำนักเพชรบุรีและโจทก์มีคำสั่งเลิกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2539 เนื่องจากจำเลยใช้อำนาจเซ็นอนุมัติให้นายชัช พิพัฒน์ศิริ นำเช็คส่วนตัวมาขายลดให้แก่โจทก์อันเป็นการอนุมัติสินเชื่อโดยไม่ชอบรวม 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2539 อนุมัติการขายลดเช็คธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ เลขที่ 0465884 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2539 จำนวนเงิน 3,500,000 บาท และเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2539 อนุมัติการขายลดเช็คธนาคากรุงเทพฯพาณิชย์การเลขที่ 0465888 ลงวันที่ 25 กันยายน 2539 จำนวนเงิน 1,050,000 บาท รวมเป็นเงิน 4,550,000 บาท และต่อมาเช็คทั้งสองฉบับโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการอนุมัติโดยฝ่าฝืนระเบียบของจำเลย จำเลยจึงต้องชดใช้คืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินตามเช็คแต่ละฉบับแต่วันที่เช็คถึงกำหนดชำระจนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินดอกเบี้ย 2,918,856.16 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 7,468,856.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,550,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้อนุมัติสินเชื่อไปตามอำนาจหน้าที่และตามระเบียบคำสั่ง ตลอดจนทางปฏิบัติของโจทก์ทุกประการ ทั้งได้กระทำไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยมุ่งถึงประโยชน์สูงสุดที่โจทก์จะได้รับเป็นสำคัญ ไม่มีเจตนาทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลภายนอกทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ทั้งการอนุมัติสินเชื่อขายลดเช็คตามฟ้องยังทำให้โจทก์มีหลักประกันในการที่จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้มั่นคงยิ่งขึ้นเพราะการที่จำเลยอนุมัติให้ขายลดเช็คจำนวน 3,500,000 บาท โดยมีจุดประสงค์เพื่อชำระเช็คคืนจำนวน 3,300,000 บาท ส่วนที่เหลือให้โอนเข้าบัญชีกระแสรายวันของลูกหนี้ ส่วนที่จำเลยอนุมัติให้ขายลดเช็คจำนวน 1,050,000 บาท นั้นมีจุดประสงค์เพื่อลดยอดวงเงินเบิกเกินบัญชีของลูกหนี้ด้วย เหตุนี้การที่จำเลยอนุมัติให้ขายลดเช็คทั้งสองครั้งจึงไม่ใช่กรณีลูกหนี้ขออนุมัติสินเชื่อครั้งใหม่แล้วได้สินเชื่อไปตามที่ได้รับอนุมัติแต่เป็นการขอสินเชื่อเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่เดิมแก่โจทก์และทำให้โจทก์มีหลักประกันในการที่จะได้รับชำระหนี้คืนมั่นคงยิ่งขึ้น เพราะหนี้ที่มีอยู่เดิมนั้นโจทก์สามารถบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ได้เฉพาะการฟ้องร้องในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนหลักประกันใหม่กรณีที่ลูกหนี้นำเช็คมาขายลดเช่นนี้ นอกจากสามารถบังคับชำระหนี้กับลูกหนี้ในทางแพ่งแล้วยังทำให้โจทก์สามารถบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ในทางอาญาเพิ่มขึ้นด้วย การกระทำของจำเลยจึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายใดๆ จากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายประจำสำนักงานกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้รับคำสั่งให้ไปรักษาการในตำแหน่งผู้จัดการสำนักเพชรบุรี ต่อมาวันที่ 29 มีนาคม 2539 จำเลยได้อนุมัติขายลดเช็คธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ เลขที่ 0465884 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2539 ของนายชัช พิพัฒน์ศิริ ลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชีของโจทก์สำนักเพชรบุรีที่นำมาขายลดให้ในวงเงิน 3,500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้นำเงินจากการขายลดเช็คจำนวน 3,300,000 บาท แล้วเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ ส่วนที่เหลือ 200,000 บาท ให้นำไปชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของนายชัช ตามใบขออนุมัติวงเงินชั่วคราวหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสินเชื่อเอกสารหมาย จ.8 และต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2539 (ที่ถูก วันที่ 28 มิถุนายน 2539) จำเลยยังได้อนุมัติการขายลดเช็คให้แก่นายชัชอีก 1 ฉบับ เป็นเช็คธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การเช่นกัน เลขที่ 0465888 ลงวันที่ 25 กันยายน 2539 ในวงเงิน 1,050,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปหักยอดหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของนายชัชเช่นกันตามเอกสารหมาย จ.9 ต่อมาเมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดชำระโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ แล้วินิจฉัยว่า หลังจากที่โจทก์มีคำสั่งที่ 66/2537 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2537 เป็นต้นไปแล้ว ต่อมาโจทก์ได้มีคำสั่งที่ 47/2538 เรื่องปรับปรุงอำนาจอนุมัติวงเงินซิสเทม ลิมิต ของสำนักงานใหญ่ตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2538 เป็นต้นไป โดยคำสั่งที่ 47/2538 ระบุว่า ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายหรือผู้จัดการสำนักงานภาค (ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งของจำเลย) มีอำนาจอนุมัติวงเงินชั่วคราวในวงเงินไม่เกิน 7 ล้านบาท และต่อมาโจทก์ยังได้มีคำสั่งที่ 54/2539 เรื่องปรับปรุงอำนาจอนุมัติวงเงินซิสเทม ลิมิต ของสำนักงานใหญ่ตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2539 ให้ยกเลิกคำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะอำนาจอนุมัติวงเงินในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการเท่านั้น ส่วนอำนาจอนุมัติวงเงินในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายหรือเทียบเท่าตำแหน่งของจำเลยยังคงมีอำนาจอนุมัติสินเชื่อชั่วคราวในวงเงินไม่เกิน 7 ล้านบาท เช่นเดิม ดังนั้นคำสั่งของโจทก์ที่ 66/2537 เฉพาะแผ่นที่ 5 ข้อ 1.6 จึงถูกยกเลิกโดยคำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 และแม้ต่อมาคำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 ก็ถูกยกเลิกโดยคำสั่งของโจทก์ที่ 54/2539 ก็ตามแต่คำสั่งของโจทก์ที่ 54/2539 ก็แก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะอำนาจอนุมัติวงเงินในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการเท่านั้น ส่วนอำนาจอนุมัติวงเงินในตำแหน่งอื่นยังคงเป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 ดังนั้นขณะที่จำเลยอนุมัติวงเงินชั่วคราวที่นายชัชนำเช็คฉบับแรกคดีนี้มาขายลดให้เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2539 จึงต้องนำคำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 มาใช้บังคับ ส่วนที่จำเลยอนุมัติวงเงินชั่วคราวที่นายชัชนำเช็คฉบับที่สองคดีนี้มาขายลดให้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2539 (ที่ถูก วันที่ 28 มิถุนายน 2539) ต้องนำคำสั่งของโจทก์ฉบับที่ 54/2539 มาใช้บังคับ แต่เนื่องจากคำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 และที่ 54/2539 ในส่วนตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายหรือเทียบเท่าตำแหน่งของจำเลยมีอำนาจอนุมัติวงเงินไม่เกิน 7 ล้านบาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่ได้ระบุว่าอนุมัติสินเชื่อชั่วคราวจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันแล้ว ดังนั้นการที่จำเลยอนุมัติให้ขายลดเช็คทั้งสองครั้งตามเอกสารหมาย จ.8 ในวงเงิน 3,500,000 บาท และตามเอกสารหมาย จ.9 ในวงเงิน 1,050,000 บาท แม้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจำเลยก็มีอำนาจอนุมัติได้ ส่วนข้อบังคับตามคำสั่งของโจทก์ที่ 66/2537 เอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 5 ข้อ 1.6 ที่กำหนดเวลาให้สินเชื่อภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน และไม่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินเบิกเกินบัญชีนั้น ก็ถูกยกเลิกโดยคำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 และที่ 54/2539 แล้ว การที่จำเลยได้อนุมัติขาดลดเช็คทั้งสองครั้งตามฟ้องให้แก่นายชัชโดยกระทำไปภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของโจทก์จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้แก่โจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การอนุมัติขายลดเช็คของจำเลยฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งอนุมัติสินเชื่อของโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า คำสั่งของโจทก์ที่ 66/2537 เป็นคำสั่งหลักที่วางระเบียบการอนุมัติสินเชื่อของโจทก์ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน ในกรณีมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ประเภทมีสัญญาและประเภทชั่วคราวไม่มีสัญญา ประเภทอยู่ในวงเงินและเกินวงเงิน ซึ่งโจทก์ใช้คำสั่งนี้เป็นเงื่อนไขการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อตลอดมา หากมีการเปลี่ยนแปลงโจทก์ก็จะต้องประกาศยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเพื่อใช้คำสั่งใหม่แทน แต่ขณะที่จำเลยอนุมัติสินเชื่อขาดลดเช็คนั้น ยังไม่มีคำสั่งใดที่ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว การพิจารณาและอนุมัติให้เกินวงเงินในสัญญาเป็นการชั่วคราวจึงต้องอยู่ภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ทั้งนี้ให้หมายรวมถึงส่วนที่เกินวงเงินในสัญญาอยู่เดิมแล้วทั้งนี้จะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินรวมส่วนคำสั่งที่ 47/2538 และที่ 54/2539 เป็นคำสั่งเกี่ยวกับระบบซิสเทม ลิมิตหมายถึงวงเงินในระบบงานออนไลน์เพื่อให้การปฏิบัติงานในระบบงานออไลน์บัญชีกระแสรายวันและการบริหารสภาพคล่องของธนาคารในแต่ละช่วงเวลามีความคล่องตัว จึงมีคำสั่งปรับวงเงินซิสเทม ลิมิต คำสั่งดังกล่าวไม่ใช่ระเบียบเกี่ยวกับการอนุมัติสินเชื่อ ทั้งอำนาจการอนุมัติวงเงินตามคำสั่งที่ 47/2538 และที่ 54/2539 เป็นกรณีวงเงินเบิกเกินบัญชีที่มีสัญญาประเภทเกินวงเงินเกินบัญชีชั่วคราวที่ไม่มีสัญญาและวงเงินให้กู้ยืมประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกินวงเงินและไม่มีวงเงินเป็นการชั่วคราวซึ่งเกินกว่าซิสเทม ลิมิต (เดิม) ของผู้จัดการการสำนัก/สาขาเท่านั้น ไม่ใช่เกี่ยวกับสินเชื่อประเภทขายลดเช็ค คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ได้ยกเลิกคำสั่งที่ 66/2537 มีเพียงคำสั่งที่ 54/2539 ที่ยกเลิกคำสั่งที่ 47/2538 เมื่อคำสั่งที่ 66/2537 ยังคงใช้บังคับการอนุมัติสินเชื่อของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบข้อบังคับของโจทก์ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า อำนาจอนุมัติให้สินเชื่อหรืออนุมัติให้ขายลดเช็คของจำเลยซึ่งเทียบเท่าผู้จัดการฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์ที่ 66/2537 ตามเอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 5 ข้อ 1.6 ที่ระบุว่า การพิจารณาและอนุมัติให้เกินวงเงินในสัญญาเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ทั้งนี้ให้หมายความรวมถึงส่วนที่เกินวงเงินในสัญญาอยู่เดิมแล้ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินรวมตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายวงเงินอนุมัติไม่เกิน 3 ล้านบาท โจทก์สั่ง ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2537 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2537 เป็นต้นไป ต่อมาโจทก์มีคำสั่งที่ 47/2538 เรื่องปรับปรุงอำนาจอนุมัติวงเงินซิสเทม ลิมิต ของสำนักงานใหญ่โดยระบุตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายหรือเทียบเท่าตำแหน่งของจำเลย มีอำนาจอนุมัติชั่วคราวในวงเงินไม่เกิน 7 ล้านบาท โจทก์สั่ง ณ วันที่ 2 มกราคม 2538 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2538 เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย ล.2 ต่อมาโจทก์มีคำสั่งที่ 54/2539 เรื่องปรับปรุงอำนาจอนุมัติวงเงินซิสเทม ลิมิต ของสำนักงานใหญ่โดยแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะอำนาจอนุมัติวงเงินในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนอำนาจอนุมัติวงเงินในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายหรือเทียบเท่าตำแหน่งของจำเลยยังคงเหมือนเดิมในวงเงินไม่เกิน 7 ล้านบาท คำสั่งฉบับนี้ให้ยกเลิกคำสั่งที่ 47/2538 ลงวันที่ 2 มกราคม 2538 โดยโจทก์สั่ง ณ วันที่ 19 เมษายน 2539 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2539 ตามเอกสารหมาย ล.1 เห็นว่า การอนุมัติสินเชื่อชั่วคราวในระบบซิสเทม ลิมิต นั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายในขณะนั้นจะมีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 3 ล้านบาท ตามคำสั่งที่ 66/2537 หรือมีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 7 ล้านบาท ตามคำสั่งที่ 47/2538 และที่ 54/2539 นั้น ก็จะต้องพิจารณาว่ามีการขออนุมัติขยายวงเงินสินเชื่อเมื่อใด ซึ่งหากอยู่ในช่วงที่คำสั่งที่ 66/2537 มีผลใช้บังคับ จำเลยก็มีอำนาจอนุมัติวงเงินได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่หากอยู่ในช่วงที่คำสั่งที่ 47/2538 และที่ 54/2539 มีผลใช้บังคับแล้ว จำเลยก็มีอำนาจอนุมัติวงเงินได้ไม่เกิน 7 ล้านบาท สำหรับคดีนี้จำเลยได้อนุมัติวงเงินขายลดเช็คครั้งแรกให้แก่นายชัช ตามเอกสารหมาย จ.8 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2539 อยู่ในช่วงที่คำสั่งที่ 47/2538 ตามเอกสารหมาย ล.8 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2538 เป็นต้นไป ส่วนครั้งที่สองจำเลยอนุมัติวงเงินขายลดเช็คให้แก่นายชัชตามเอกสารหมาย จ.9 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2539 อยู่ในช่วงที่คำสั่งที่ 54/2539 ตามเอกสารหมาย ล.1 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2539 เป็นต้นไป อำนาจของจำเลยในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อชั่วคราวชายลดเช็คให้แก่นายชัชคดีนี้ครั้งแรกจึงต้องใช้คำสั่งของโจทก์ที่ 47/2538 บังคับใช้ ส่วนครั้งที่สองต้องใช้คำสั่งของโจทก์ที่ 54/2539 บังคับใช้ แต่ทั้งสองคำสั่งดังกล่าวได้ให้อำนาจจำเลยในการอนุมัติสินเชื่อได้ในวงเงินไม่เกิน 7 ล้านบาท เหมือนกันและไม่ได้กำหนดเงื่อนไขระยะเวลาในการอนุมัติและให้ได้ไม่เกินร้อยละเท่าไรของวงเงินเบิกเงินเกินสัญญาเช่นที่กำหนดเงื่อนไขได้ในคำสั่งที่ 66/2537 ข้อ 1.6 ดังกล่าวมาแล้วและไม่ได้กำหนดเรื่องต้องมีหลักประกันด้วย ดังนั้นการที่จำเลยอนุมัติขายลดเช็คให้แก่นายชัชคดีนี้ครั้งแรกวงเงิน 3,500,000 บาท และครั้งที่สองวงเงิน 1,050,000 บาท จึงไม่เกินอำนาจอนุมัติของจำเลยตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งที่ 47/2538 และที่ 54/2539 ไม่เกิน 7 ล้านบาท การอนุมัติขายลดเช็คของจำเลยคดีนี้จึงไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งอนุมัติสินเชื่อของโจทก์ จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายใดๆ ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน