คำพิพากษาฎีกาที่ 1190 /2551
ลาป่วยบ่อย ขัดคำสั่ง หลับประจำ
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2537 ทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว สุดท้ายทำหน้าที่พนักงานประจำแผนกธุรการได้รับค่าจ้างเดือนละ 14,900 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 16 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ อ้างเหตุว่าโจทก์ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตามเวลาที่กำหนด นั่งหลับ ออกไปทำธุระส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตและลาป่วยบ่อย โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามที่จำเลยอ้าง การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ขาดรายได้ประจำโจทก์มีอายุมาก ยากแก่การหางานทำใหม่ โจทก์คิดค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 24 เดือน เป็นเงิน 357,600 บาท นอกจากนี้ ระหว่างโจทก์เป็นลูกจ้าง จำเลยยังไม่จ่ายค่าทำงานในวันหยุดตั้งแต่ปี 2539 ถึงปี 2543 จำนวน 138,161 บาท เงินรางวัลประจำปี 2544 และปี 2545 ปีละ 89,400 บาท เงินรางวัลจากการทำข่าวรังสีโคบอลต์จำนวน 40,000 บาท และจำเลยยังไม่คืนเงินประกันการทำงานจำนวน 18,000 บาท แก่โจทก์ โจทก์ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายจากจำเลยแล้ว แต่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 7,450 บาท จำเลยกลั่นแกล้งและสร้างความกดดันให้แก่โจทก์ ไม่ยอมจ่ายงานให้ทั้งที่โจทก์พร้อมทำงาน พยายามจับผิด หาทางเลิกจ้างจนโจทก์ต้องเจ็บป่วยด้วยความเครียดจากการทำงาน การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ โจทก์เรียกร้องเป็นเงิน 3,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 3,740,011 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 (วันเลิกจ้าง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตามเวลาที่กำหนดเพื่อประโยชน์ในการทำงาน แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จงใจขัดคำสั่งและไม่นำพาต่อคำสั่งดังกล่าวเป็นอาจิณ โจทก์ใช้สิทธิลาป่วยบ่อยครั้ง ออกไปนอกพื้นที่ปฏิบัติงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายหนและนั่งหลับขณะปฏิบัติงานเป็นประจำ จำเลยว่ากล่าวตักเตือนโจทก์ตลอดมา แต่โจทก์ไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น จำเลยไม่เคยให้โจทก์ทำงานในวันหยุด และโจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวภายในกำหนด 2 ปี ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ จำเลยไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าทำงานในวันหยุดตามฟ้องให้แก่โจทก์จำเลยจะพิจารณาจ่ายเงินรางวัลประจำปีให้แก่พนักงานที่มีความประพฤติดี ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท ขยันหมั่นเพียรและซื่อสัตย์สุจริตเท่านั้น โจทก์ใช้สิทธิลาป่วยเกินกว่าหลักเกณฑ์ที่จำเลยกำหนด จำเลยจึงไม่พิจารณาจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ เงินรางวัลจากการทำข่าวรังสีโคบอลต์ จำนวน 40,000 บาท เป็นเงินรางวัลของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในฐานะผู้นำเสนอข่าวไม่ใช่เงินรางวัลที่มอบให้แก่โจทก์ ทั้งโจทก์ไม่ได้เรียกร้องเงินดังกล่าวภายในกำหนด 1 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้ โจทก์ได้รับเงินประกันการทำงานอื่นจากจำเลยตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2546 และจำเลยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์การเลิกจ้างชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานกลางตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ในข้อ 3.7 กล่าวอ้างว่าในระหว่างที่โจทก์ทำงานจำเลยได้กลั่นแกล้งโจทก์ด้วยการไม่จ่ายงานให้ทำพยายามจับผิดเพื่อหาทางเลิกจ้างจนโจทก์ต้องเจ็บป่วยด้วยอาการเครียดจากการทำงาน จึงขอเรียกร้องค่าเสียหายจากการเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นั้น เป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงานโจทก์อุทธรณ์อ้างเหตุต่างๆ เพื่อให้ฟังว่าการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของจำเลยต่อโจทก์เป็นข้อพิพาทแรงงานหรือสืบเนื่องมาจากสภาพการจ้าง คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการอ้างบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ขอให้รับคำคัดค้านของโจทก์และขอให้งดการพิพากษาคดีนี้ไว้ก่อนแล้วส่งสำนวนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีมีปัญหาว่าคดีใดจะอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในศาลแรงงานกลางหรือศาลอื่น ให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางให้เป็นที่สุด” เมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยแล้วว่า ค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิของโจทก์ในกรณีเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงาน คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมเป็นที่สุด อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2.1 ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ฝ่าฝืนบันทึกคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตามเวลาที่กำหนด นั่งหลับ ออกไปนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต และลาป่วยมาก ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่า โจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะเรื่องการเสนอข่าวที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บังคับบัญชาซึ่งไม่ตรงกับที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมา อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย
สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ ข้อ 2.2 ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุแห่งการเลิกจ้าง 2 ประการ คือโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและโจทก์ลาป่วยมาก ที่โจทก์อุทธรณ์ ข้อ 2.2 ยกเหตุแห่งการลาป่วยเพียงอย่างเดียวว่าการลาป่วยของโจทก์มิได้ฝ่าฝืนระเบียบ ดังนั้น ถึงแม้หากจะฟังว่าการลาป่วยของโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบหรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์