คำพิพากษาฎีกาที่ 7398 - 7399/2551
เรื่อง กระทำความผิดซ้ำคำเตือน นายจ้างมีหนังสือแจ้งให้ทราบว่ากระทำความผิดซ้ำคำเตือนจะลงโทษตามข้อบังคับต่อไป หนังสือดังกล่าวมิใช่หนังสือเตือน ต่อมานายจ้างลงโทษเลิกจ้างตามความผิดที่แจ้งดังกล่าวได้
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์และจำเลยทั้งสองสำนวนว่า โจทก์และจำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความสรุปได้ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด และเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 วันที่ 1 กรกฎาคม 2535 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งโอเปอเรเตอร์ พนักงานสามัญ ส่วนการกลั่น สายผลิตการตลาด มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์การกลั่นน้ำมัน โจทก์ทำงานกะ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 11,370 บาท และค่าทำงานกะอัตราร้อยละ 15 ของเงินเดือน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน
จำเลยสั่งเปลี่ยนแปลงหน้าที่และเวลาทำงานของโจทก์เป็นพนักงานกะรวม 12 เดือน เป็นเงิน 19,039 บาท วันที่ 16 สิงหาคม 2542 จำเลยสั่งให้โจทก์ไปทำงานในตำแหน่งพนักงานบริการ ส่วนการพนักงาน เป็นพนักงานกลางวัน
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 จำเลยสั่งเปลี่ยนแปลงหน้าที่โจทก์โดยให้ทำหน้าที่ทางด้านเอกสารการเงิน
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 นายวัชระพงษ์ ศุภพิทักษ์ ผู้จัดการส่วนการพนักงานออกหนังสือเตือนโจทก์ฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 อ้างว่าโจทก์ประพฤติหยาบคายหรือใช้วาจาหยาบคายกับบุคคลอื่นในเวลาทำงาน หรือ ณ บริเวณหรือสถานที่ทำงานพูดจาหรือเขียนข้อความให้ร้ายหรือกล่าวหาผู้บริหารของบริษัท
นายวัชระพงษ์ ในฐานะผู้จัดการส่วนบริหารสำนักงานและระบบพนักงาน ออกหนังสือเตือนโจทก์ ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2546 อ้างว่าโจทก์กระทำผิดในเรื่องการไม่ปฏิบัติงานและละทิ้งหน้าที่ไปจากที่ทำงานระหว่างเวลาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาหรือถ่วงเวลาการทำงานในสถานที่อื่นใด
วันที่ 4 เมษายน 2546 จำเลยมีหนังสือปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงานโดยที่โจทก์ไม่ได้กระทำความผิด
ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าทำงานกะนับแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2541 ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2542 เป็นเงิน 19,039 บาท นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2542 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2546 เป็นเงิน 78,370 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2544 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2546 เป็นเงิน 5,526 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2546 เพิกถอนหนังสือเตือนของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2546 ฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 และวันที่ 25 มีนาคม 2546 จ่ายเงินวินัยการปฏิบัติงานประจำปี 2545 เป็นเงิน 5,685 บาท ประจำปี 2546 เป้นเงิน 2,969 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2546 ค่าชดเชยเป็นเงิน 113,700 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 21,224 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับค่าชดเชย และร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2546 ค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 500,000 บาท จ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเต็มจำนวนให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ผิดนัด และใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 1,137,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำงานเป็นพนักงานกลางวันตั้งแต่ 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา ซึ่งเป็นคำสั่งโดยชอบ ไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรือลงโทษโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานกะ โดยโจทก์ยังได้รับค่าจ้าง สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการอย่างอื่นเท่าเดิม
วันที่ 16 สิงหาคม 2542 จำเลยย้ายโจทก์ไม่ปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานบริการ ส่วนการพนักงาน สายกรรมการผู้จัดการใหญ่โจทก์ยังคงมีตำแหน่งระดับเท่าเทียมกันกับตำแหน่งเดิม และไม่มีการลดอัตราเงินเดือนของโจทก์ โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2546 จำเลยปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงานเนื่องจากโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ซึ่งจำเลยได้มีคำสั่งเตือนให้โจทก์ทราบเป็นหนังสือแล้ว และต่อมาโจทก์ทำผิดในเรื่องเดียวกันซ้ำอีกภายใน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้กระทำความผิดครั้งแรกและโจทก์ได้ประพฤติตนดูหมิ่นกล่าววาจาหยาบคายต่อผู้อื่นในสถานที่ทำงาน ตลอดจนแพร่ข่าวอกุศลต่อผู้อื่น การเลิกจ้างโจทก์ไม่ใช่การกระทำอันไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 113,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
เห็นว่า เมื่อเดือนมกราคม 2545 ถึงเดือนธันวาคม 2545 โจทก์ไม่ไปถึงสถานที่ทำงานในเวลา 8.00 นาฬิกา อันเป็นเวลาทำงานตามปกติรวมทั้งสิ้น 35 ครั้ง จำเลยออกหนังสือเตือนลงวันที่ 21 มกราคม 2546 ตามเอกสารหมาย ล.11 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2546 โจทก์แสดงกิริยาดูหมิ่นเหยียดหยามและพูดจาไม่สุภาพหยาบคายต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรง จำเลยออกหนังสือเตือนฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 ตามเอกสารหมาย ล.15 เอกสารทั้งสองฉบับลงลายมือชื่อนายวัชระพงษ์ ศุภพิทักษ์ ผู้จัดการส่วนการพนักงาน หนังสือทั้งสองฉบับนี้ระบุว่าเป็นเรื่องเตือนให้ปรับปรุงความประพฤติ และยังระบุเรื่องการกระทำผิดของโจทก์ด้วย อีกทั้งมีข้อความเหมือนกันว่า "ดังนั้นเพื่อให้ท่านแก้ไขและปรับปรุงความประพฤติของท่านให้เป็นพนักงานที่ดีและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมตามกฎข้อบังคับและมาตรฐานการทำงานที่ดี บริษัทฯจึงลงโทษท่านโดยการออกหนังสือเตือนให้ปรับปรุงความประพฤติครั้งที่ 1 ขอตักเตือนว่าหากท่านฝ่าฝืนกฎข้อบังคับของบริษัท โดยกระทำผิดเช่นนั้นอีก บริษัทจะพิจารณาลงโทษสถานหนักต่อไป" หลังจากนั้นปรากฎว่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2546 ถึงมีนาคม 2546 โจทก์ยังคงทำผิดซ้ำคำเตือนโดยไปไม่ถึงอาคารสถานที่ทำงานและไม่ปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 8.00 นาฬิกา รวมทั้งสิ้น 13 ครั้ง จำเลยจึงมีหนังสือลงวันที่ 24 มีนาคม 2546 ลงนามโดยนายวัชระพงษ์เช่นกัน แต่ระบุเรื่องว่า หนังสือแจ้งการกระทำผิดซ้ำคำเตือน เมื่อมีข้อความระบุการกระทำความผิดของโจทก์ในเรื่องดังกล่าวแล้วยังระบุว่าเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนทั้งระบุว่าบริษัทจะพิจารณาลงโทษทางวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานต่อไป มิได้มีข้อความเรื่องลงโทษโจทก์ด้วยการออกหนังสือตักเตือน หลังจากออกหนังสือฉบับนี้ได้ 9 วัน จำเลยออกหนังสือปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงานตามเอกสารหมาย ล.9 ดังนั้น เอกสารหมาย ล.12 จึงมิใช่หนังสือเตือนแต่เป็นหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือน โดยโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น การกระทำของโจทก์เป็นการละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายเป็นอาจิณ จำเลยผู้เป็นนายจ้างสามารถไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ประกอบพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 พฤติการณ์เกี่ยวกับการทำงาน รวมทั้งการฝ่าฝืนคำสั่งและระเบียบข้อบังคับของจำเลยย่อมมีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ จึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องทั้งหมด