คำพิพากษาฎีกาที่ 6351/2551
นายจ้างมีคำสั่งโยกย้าย ลูกจ้างไม่ไป นายจ้างตักเตือนเป็นหนังสือ เตือน ต่อมามีคำสั่งโยกย้ายอีก ลูกจ้างไม่ไปเลิกจ้างได้ถือว่าขาดงานละทิ้งหน้าที่
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2542 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายทำหน้าที่หัวหน้าส่วนงานศูนย์บริการ สาขาทองหล่อ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 30 ของทุกเดือน ต่อมาวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทำงานกับจำเลยมาครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 63,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 59 วัน เป็น 20,650 บาท จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2546 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2546 รวม 13 วัน เป็นเงิน 4,550 บาท และขอคิดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 126,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 20,650 บาท ค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงิน 4,550 บาท ค่าชดเชยเป็นเงิน 63,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 126,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม 2546 ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2546 โจทก์เก็บเงินค่าซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์จากลูกค้ารวม 8 ราย เป็นเงิน 189,565.94 บาท แต่โจทก์ไม่นำส่งให้จำเลยในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้นตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน จำเลยสอบถามหลายครั้งแต่โจทก์บ่ายเบี่ยงมาตลอด วันที่ 9 มิถุนายน 2546 จำเลยมีคำสั่งโอนย้ายโจทก์จากศูนย์บริการทองหล่อมาประจำที่ศูนย์บริการรัตนาธิเบศร์แต่โจทก์ขัดคำสั่ง จำเลยมีได้มีหนังสือเตือนโจทก์ว่ากระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน วันที่ 19 มิถุนายน 2546 โจทก์นำบันทึกเวลาการทำงานของโจทก์ที่ศูนย์บริการทองหล่อซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลยออกไปนอกสถานที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตและฉีกทำลายเอกสารที่จำเลยปิดประกาศแจ้งให้พนักงานทราบว่าได้มีการโอนย้ายโจทก์ไปที่ศูนย์บริการรัตนาธิเบศร์ซึ่งถือว่าผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2546 โจทก์ก็ยังไม่ไปปฏิบัติงานที่ศูนย์รัตนาธิเบศร์ โดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ ซึ่งเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจำเลยจึงได้มีหนังสือเตือน และวันที่ 26 มิถุนายน 2546 จำเลยได้มีประกาศเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2546 เนื่องจากโจทก์ขาดงานเป็นเวลาเกินกว่า 3 วันทำงาน โดยไม่มีเหตุอันสมควร การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร และเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2546 โจทก์ไม่ได้เข้ามาทำงานกับจำเลยแต่โจทก์นำบัตรบันทึกเวลาเข้าทำงานและเลิกงานมาตอกบัตรลงเวลาทำงานและเลิกงานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างในวันดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์บริการสาขาทองหล่อ ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2546 โจทก์เก็บเงินค่าซ่อมรถจากลูกค้า 8 ราย เป็นเงิน 189,565.94 บาท แล้วไม่นำส่งจำเลยในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้นตามระเบียบ จำเลยจึงตั้งกรรมการสอบปรากฏว่าโจทก์นำเงินดังกล่าวไปฝากนายสุจินต์ จันทร์นวล กรรมการคนหนึ่งของจำเลยซึ่งทำงานที่ศูนย์บริการทองหล่อ จำเลยจึงมีคำสั่งย้ายโจทก์ไปอยู่ที่ศูนย์บริการสาขารัตนาธิเบศร์แต่โจทก์ไม่ยอมไป จำเลยจึงมีหนังสือเตือน ภายหลังจำเลยได้มีคำสั่งย้ายโจทก์ไปที่ศูนย์บริการสาขารัตนาธิเบศร์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2546 จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2546 โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เป็นหนังสือโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2546 ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ช่วงวันที่ 20 ถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2546 โจทก์ยังเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวให้โจทก์ เมื่อจำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามจำเลยจึงออกหนังสือเตือนให้พนักงานของจำเลยนำไปส่งให้โจทก์ที่ศูนย์บริการสาขาทองหล่อแต่โจทก์ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับ ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งและคำเตือนของจำเลยแล้ว จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง โจทก์ไม่นำเงินที่เก็บจากลูกค้าเข้าบัญชีหรือส่งมอบให้จำเลยเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน การที่จำเลยสั่งให้โจทก์ย้ายไปทำงานที่ศูนย์บริการสาขารัตนาธิเบศร์ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2546 แต่จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2546 โจทก์ก็ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งเป็นกรณีโจทก์ละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย จำเลยมีเหตุสมควรที่จะเลิกจ้างโจทก์ ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้าง 2,100 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยว่าศาลแรงงานกลางพิพากษานอกเหนือไปจากที่ปรากฏในคำฟ้องคำให้การหรือไม่ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วหรือไม่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและโจทก์เสียหายจากการเลิกจ้างหรือไม่เพียงใด เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด จำเลยให้การว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (5) ซึ่งเป็นไปตามข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยและอยู่ในประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ที่ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้ค่าชดเชยหรือไม่เพียงใด และศาลแรงงานกลางไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ตามมาตรา 119 (1) หรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีไปตามประเด็นในคำฟ้องคำให้การและประเด็นข้อพิพาทที่ศาลแรงงานกลางกำหนดแล้ว ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องคำให้การ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยมีเหตุผลสมควรที่เลิกจ้างโจทก์ การเลิกจ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และเมื่อไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแล้วก็ไม่มีความเสียหายที่เกิดจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางจึงได้วินิจฉัยว่าไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์เสียหายหรือไม่ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้อ 3 ที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ และข้อ 4 ที่ว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ เป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน