คำพิพากษาฎีกาที่ 287 - 295/2551
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตกลงจ่ายค่าชดเชยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดบังคับใช้ได้
คดีทั้งเก้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งเก้าสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 9 ตามลำดับ และเรียกจำเลยทั้งเก้าสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งเก้าฟ้องในทำนองเดียวกันว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งเก้าทำงานเป็นลูกจ้าง กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548
จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า และโดยโจทก์ทั้งเก้ามิได้กระทำความผิดโจทก์ทั้งเก้าได้รับค่าชดเชยและเงินอื่นจากจำเลยแล้ว แต่จำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ปี 2531 ข้อ 9 ให้โจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิได้รับค่าชดเชยปีละเดือนของค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามอายุงานด้วย แต่จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งเก้า จำเลยได้จ่ายสินจ้าแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ทั้งเก้าจำนวนหนึ่งแล้วแต่ยังขาดอยู่คนละหนึ่งเดือน ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าส่วนที่ขาดคนละหนึ่งเดือนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามอายุงานพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งเก้า
จำเลยทั้งเก้าสำนวนให้การว่า ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยกับสหภาพแรงงาน ข้อ 9 เป็นกรณีที่จำเลยประกาศหาผู้สมัครใจลาออกจากงานจำเลยจึงจะจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานเป็นปี ปีละ 1 เดือนบวก 2 หรือ 3หรือ 6 เดือน ตามระยะเวลาการทำงานให้ แต่กรณีของโจทก์ทั้งเก้าจำเลยไม่ได้ประกาศหาผู้สมัครใจลาออกจากงาน แต่เป็นกรณีที่จำเลยแจ้งโจทก์ทั้งเก้าและพนักงานในแผนกผลิตผ้าอนามัยแถบกาวทราบว่าจำเลยจะยุบเลิกแผนกดังกล่าว หากโจทก์ทั้งเก้าและพนักงานในแผนกดังกล่าวไม่ลาออกก็จะต้องถูกเลิกจ้างด้วยเหตุของการยุบเลิกหน่วยงาน และจำเลยได้เสนอให้โจทก์ทั้งเก้าลาออกเพื่อรับผลประโยชน์แทนการถูกเลิกจ้าง เมื่อจำเลยไม่ได้มีการประกาศหาผู้สมัครใจลาออกโดยไม่เฉพาะเจาะจง แต่เป็นการให้โจทก์ทั้งเก้าลาออกจึงไม่เข้าเงื่อนไขตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว นอกจากนั้นการที่จำเลยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนการลาออกของโจทก์ทั้งเก้าต่ำกว่าที่กำหนดในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หากข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนการลาออกขัดต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งอาจทำให้ข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนการลาออกเป็นโมฆะหรือโมฆียะ ก็ทำให้การลาออกเป็นโมฆะหรือเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งเก้าให้สัตยาบันกับการลาออก โจทก์ทั้งเก้าจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องตามฟ้องอีก ส่วนค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจะใช้เฉพาะการเลิกจ้าง เมื่อโจทก์ทั้งเก้าลาออกจึงไม่มีสิทธิได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าโจทก์ทั้งเก้ารับข้อเสนอของจำเลยแล้วลงลายมือชื่อขอลาออกตามเอกสารหมาย ล.11 ถึง ล.19 โดยมีผลเป็นการลาออกในวันที่ 21 กรกฎาคม 2548 แล้ววินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.11 ถึง ล.19 เป็นสัญญาต่างตอบแทน จึงใช้บังคับได้แม้จะขัดกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแต่เป็นผลดีแก่โจทก์ทั้งเก้าแล้ว จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเก้าว่า โจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิได้รับค่าชดเชยเพิ่มจากที่ได้รับไปแล้วตามจำนวนที่ยังขาดอยู่ตามที่ระบุในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือไม่และเพียงใด โดยโจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์ว่า แม้โจทก์ทั้งเก้าจะได้รับค่าชดเชยตามเอกสารหมาย ล.11 ถึง ล.19 มากกว่าที่บัญญัติในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 แต่ไม่เท่าจำนวนตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ. 1 โจทก์ทั้งเก้าจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยส่วนที่ขาดไปจากจำนวนดังกล่าวนั้นเห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้องนั้น ตลอดจนลูกจ้างซึ่งมีส่วนในการเลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาทุกคน" บทบัญญัติดังกล่าวแม้จะให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้อง หรือลูกจ้างซึ่งมีส่วนในการเลือกผู้แทนเข้าร่วมในการเจรจาข้อเรียกร้อง แต่การที่นายจ้างให้สิทธิและประโยชน์แก่ลูกจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าสิทธิและประโยชน์นั้นๆ เป็นสิทธิและประโยชน์อันสมควรและเป็นธรรมที่ลูกจ้างในกิจการนั้นพึงได้รับโดยเสมอกัน จึงต้องรวมไปถึงลูกจ้างที่เข้าทำงานภายหลังข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับซึ่งไม่มีโอกาสลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้อง หรือมีส่วนในการเลือกผู้แทนเข้าร่วมในการเจรจาข้อเรียกร้องด้วย เมื่อจำเลยกับสหภาพแรงงานคิมเบอร์ลี่ย์ คล๊าค ได้เจรจาตกลงจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 9 ว่า "ในกรณีที่บริษัทฯประกาศหาผู้สมัครใจลาออกจากงาน บริษัทฯตกลงจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามอัตราค่าจ้างสุดท้าย ดังนี้ 9.1 ผู้ที่ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี ได้รับค่าชดเชยตามอายุงานเป็นปี ปีละ 1 เดือน + 2 เดือน 9.2 ผู้ที่ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี ได้รับค่าชดเชยตามอายุงานเป็นปี ปีละ 1 เดือน + 3 เดือน 9.3 ผู้ที่ทำงานครบ 6 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยตามอายุงานเป็นปี ปีละ 1 เดือน + 6 เดือน" ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างข้อนี้ระบุให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในอัตราที่มากกว่าที่ลูกจ้างจะได้รับหากถูกเลิกจ้างตามที่บัญญัติไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะนั้น และให้ใช้ในกรณีที่จำเลยประกาศหาผู้สมัครใจลาออกจากงานซึ่งหมายความว่ามิได้ใช้สำหรับกรณีจำเลยเลิกจ้างลูกจ้างในกรณีปกติ และมิได้ให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่ประสงค์จะลาออกจากงานเอง แต่เป็นการลาออกจากงานตามความประสงค์ของจำเลยที่จะลดจำนวนลูกจ้างจึงได้ประกาศหาผู้สมัครใจลาออกจากงาน ดังนั้น เมื่อจำเลยประสงค์จะยุบเลิกแผนกคดีผ้าอนามัยแถบกาว ซึ่งโจทก์ทั้งเก้าทำงานอยู่จึงได้ทำหนังสือเรื่อง การจัดโครงสร้างใหม่ของบริษัทคิมเบอร์ลี่ย์ คล๊าค ประเทศไทย จำกัด ยื่นข้อเสนอขอความร่วมมือให้โจทก์ทั้งเก้าลาออกอันเป็นการแสดงความประสงค์ของจำเลยที่จะลดจำนวนลูกจ้าง เพราะต้องยุบเลิกแผนกผลิตผ้าอนามัยแถบกาว ซึ่งการจะลาออกหรือไม่ย่อมแล้วแต่ความสมัครใจของโจทก์ทั้งเก้า จึงเป็นกรณีที่จำเลยประกาศหาผู้สมัครใจลาออกจากงานตามความในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เอกสารหมาย จ.1 ข้อ 9 แล้ว เมื่อโจทก์ทั้งเก้าลาออกตามความประสงค์ของจำเลย โจทก์ทั้งเก้าจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามอัตราที่ระบุไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง เมื่อปรากฎว่าจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งเก้าไปบางส่วนแล้วตามหนังสือ เรื่อง การจัดโครงสร้างใหม่ของบริษัทคิมเบอร์ลี่ย์ คล๊าค จำกัด และใบรับเงินเอกสารหมาย ล.11 ถึง ล.19 แต่เป็นจำนวนที่น้อยกว่าจำนวนตามอัตราที่ระบุในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อต้องหักจากจำนวนเงินที่จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งเก้าไปแล้ว จำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนที่เพิ่มตามอัตราที่ระบุในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.1 แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 446,320 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 5,700 บาทโจทก์ที่ 3 จำนวน107,816 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 5,545 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน115,668 บาทโจทก์ที่ 6 จำนวน 161,232 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 93,565 บาทโจทก์ที่ 8 จำนวน11,320 บาท และโจทก์ที่ 9 จำนวน 127,440 บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกำหมายที่ใช้ในขณะเลิกจ้างแก่โจทก์ทั้งเก้า และเมื่อจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่มแก่โจทก์ทั้งเก้าแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าหนังสือเรื่อง การจัดโครงสร้างใหม่ของบริษัทคิมเบอร์ลี่ย์ คล๊าค ประเทศไทย จำกัด เอกสารหมาย ล.11 ถึง ล.19 เป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่และเป็นกรณีที่จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ทั้งเก้าขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 หรือไม่ ต่อไปอีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีต้องเปลี่ยนแปลงไป อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเก้าฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเพิ่มแก่โจทก์ที่ 1จำนวน 446,320 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 5,700 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 107,816บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 5,545 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 115,668 บาท โจทก์ที่ 6จำนวน 161,232 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 93,565 บาท โจทก์ที่ 8 จำนวน 11,320บาท และโจทก์ที่ 9 จำนวน 127,440 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2548 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง