คำพิพากษาฎีกาที่ 714 - 715/2551
ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้างภายใน 10 ปี นับจากวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานภาค 2 สั่งให้พิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2528 จำเลยที่ 2 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 จำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาท เมื่อประมาณปี 2534 โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้รักษาเงิน สาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีหน้าที่ดูแลบัญชีเงินฝากประจำของลูกค้า โดยปฏิบัติงานร่วมกับนายชัยยุทธ พลายแก้วและนางมัณฑนา โพธิ์เงิน เมื่อลูกค้ารายนายอรุณและนางวรรณศิริ นุติเจริญกุล ขอเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำจำนวน 17,000 บาท แต่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องโดยจ่ายเงินให้แก่ลูกค้าไปจำนวน 170,000 บาท เพราะเหตุที่ทำรายการผิดพลาด ต่อมาได้แก้ไขรายการและจัดทำสลิปปรับปรุงรายการโดยพลการและไม่ได้แจ้งให้ลูกค้าทราบ นายอรุณและนางวรรณศิริจึงยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรี เพื่อให้โจทก์คืนเงินในบัญชีที่ตัดรายการผิดพลาด โจทก์แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 นายชัยยุทธและนางมัณฑนาร่วมกันปฏิบัติงานบกพร่อง ประมาทเลินเล่อ ขาดความรอบคอบระมัดระวังเท่าที่ควรในการปฏิบัติงานอันเป็นการผิดวินัยพนักงาน ลงโทษตัดเงินเดือนร้อยละ 15 มีกำหนด 3 เดือน ส่วนความรับผิดทางแพ่ง หากโจทก์แพ้คดี ได้รับความเสียหาย ก็จะให้จำเลยที่ 2 นายชัยยุทธและนางมัณฑนาร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจนครบจำนวนต่อมาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์แพ้คดีและคืนเงิน โจทก์จึงนำเงินจำนวน 153,000 บาท เข้าบัญชีคืนให้แก่ลูกค้าเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2537 จำเลยที่ 2 นายชัยยุทธ และนางมัณฑนาจะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์นายชัยยุทธชดใช้เงินจำนวน 51,000 บาทคืนให้แก่โจทก์แล้ว นางมัณฑนาผ่อนชำระเงินจำนวน 51,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดเป็นเงินจำนวน 51,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 51,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติงานตามแบบแผนในทางปฏิบัติที่โจทก์รู้เห็นและยินยอมให้ปฏิบัติเพื่อความคล่องตัวและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ได้ทำรายการเบิกถอนเงินในบัญชีของลูกค้าผิดพลาด ไม่ได้แก้ไขรายการโดยพลการ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อขาดความระมัดระวังในการปฏิบัติงานตามคำฟ้องของโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่โจทก์ แต่เกิดจากการกระทำของลูกค้า จำเลยที่ 2จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์และไม่ได้กระทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 51,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 31 พฤษภาคม 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เป็นเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงตามคำแถลงของคู่ความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2528 จำเลยที่ 2 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ที่สาขาศรีราชา โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์จำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาท เมื่อประมาณปี 2534 โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้รักษาเงินของโจทก์สาขาศรีราชามีหน้าที่ดูแลบัญชีเงินฝากประจำของลูกค้าโจทก์สาขาศรีราชา โดยปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับนายชัยยุทธ พลายแก้ว และนางมัณฑนา โพธิ์เงิน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2534 ลูกค้ารายนายอรุณและนางวรรณศิริ นุติเจริญกุล ขอเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 208-2-13540-3 นายชัยยุทธเป็นผู้เขียนใบถอนเงินให้แก่ลูกค้า ฉบับลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2534 ระบุตัวเลขจำนวน 17,000 บาท แต่ระบุเป็นตัวหนังสือว่า "หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นบาท" ซึ่งไม่ตรงกัน แล้วนายชัยยุทธทำรายการถอนเงินโดยตัดบัญชีลูกค้าเพียงจำนวน 17,000 บาท นางมัณฑนาเป็นผู้อนุมัติสลิปถอนเงิน ในตอนเย็นของวันเกิดเหตุ นายชัยยุทธ นางมัณฑนา และจำเลยที่ 2 พบว่ายอดเงินตามบัญชีไม่ตรงกับเอกสารถอนเงิน จึงทำรายการแก้ไขโดยทำสลิปเบิกเงินขึ้นมาอีก 1 ฉบับ เป็นเงินจำนวน 153,000 บาท แล้วปรับปรุงบัญชีของลูกค้าโดยไม่ได้แจ้งให้ลูกค้าผู้จัดการสาขา และสมุห์บัญชีทราบ ครั้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 ลูกค้ามาฝากเงิน นายชัยยุทธ จึงนำสมุดบัญชีเงินฝากของลูกค้าไปปรับปรุงให้ตรงกับบัญชีของลูกค้าที่มีอยู่กับธนาคารโจทก์ซึ่งได้มีการแก้ไขไว้ในวันเกิดเหตุแล้ว แต่ลูกค้าไม่ยินยอมและยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรี โจทก์มีคำสั่งฉบับลงวันที่ 16 ตุลาคม 2534 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการปฏิบัติงานของพนักงานสาขาศรีราชาประกอบด้วยนายสมชัย ทรัพย์ทิพย์ หัวหน้าส่วนกลาง สำนักงานสาขาเขตภาคตะวันออก 1 นายคมสัน จิตรการนทีกิจ หัวหน้าพนักงานกฎหมาย ส่วนว่าคดี 6 ฝ่ายกฎหมายและนายสมปอง สุดเจริญ หัวหน้าแผนกเรื่องราวร้องทุกข์อุทธรณ์ ส่วนพนักงานสัมพันธ์ฝ่ายพนักงาน คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้สอบสวนข้อเท็จจริงจากพยานบุคคลโดยบันทึกถ้อยคำของนายจตุรงค์ ตันติชินานนท์ นายชัยยุทธ พลายแก้ว นางมัณฑนา โพธิ์เงิน นางสาวศุภนิจ กังวิวรรธน์ นางพรภิชฌ์ สุทธิเสมอ นายศิริพันธ์ จันทรสมบัติและจำเลยที่ 2 รวมทั้งรวบรวมเอกสารสำเนาใบถอนเงินที่เป็นปัญหาและเอกสารต่างๆ ไว้ ตามสำนวนการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการปฏิบัติงานของพนักงานสาขาศรีราชาเอกสารหมาย จ.1 แล้วโจทก์มีคำสั่งลงโทษตัดเงินเดือนจำเลยที่ 2 ร้อยละ 15 มีกำหนด 3 เดือน นับตั้งแต่การจ่ายเงินเดือนงวดประจำวันที่ 15 เมษายน 2535 เป็นต้นไป โดยมีหนังสือฉบับลงวันที่ 9 เมษายน 2535 แจ้งไปยังนายศิริพันธ์ จันทรสมบัติ ผู้จัดการโจทก์สาขาศรีราชาและจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ท้ายหนังสือดังกล่าว ในหนังสือระบุว่า สำหรับความรับผิดชอบทางแพ่ง หากธนาคารเป็นฝ่ายแพ้คดี และได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวเป็นจำนวนเท่าใด ให้นายชัยยุทธ นางมัณฑนา และจำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายคืนให้โจทก์จนครบถ้วนต่อไป นายชัยยุทธ นางมัณฑนา และจำเลยที่ 2 ร่วมกันทำหนังสือขอความเป็นธรรมและอุทธรณ์คำสั่ง ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.2 และจ.3 หนังสือร้องขอความเป็นธรรมและอุทธรณ์คำสั่งระบุว่า กระทำการไม่รอบคอบไปบ้างแต่ไม่ทำให้ธนาคารเสียหายเพราะได้ดำเนินการไปตามเจตนาของลูกค้าที่ต้องการเบิกถอนเงินจำนวนดังกล่าว การแก้ไขรายละเอียดจำนวนเงินในสลิปใบถอนเงินและปรับปรุงรายการลงบัญชีในสลิปเป็นไปเพื่อรักษาประโยชน์ของธนาคารและได้พยายามติดตามลูกค้าแล้ว แต่ลูกค้าไม่ยอมมาพบคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ของโจทก์มีมติยกคำร้องอุทธรณ์โดยให้ยืนตามคำสั่งลงโทษทางวินัยไว้ตามเดิม ตามรายงานคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ฯ เอกสารหมาย จ.4 และแจ้งมติไปยังผู้จัดการสาขาศรีราชาเพื่อแจ้งให้นายชัยยุทธ นางมัณฑนา และจำเลยที่ 2 ทราบ โจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ และจำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามแล้ว ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 970/2535 ของศาลจังหวัดชลบุรี ระหว่างนายอรุณ นุติเจริญกุล ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน โจทก์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาศรีราชา จำเลย พิพากษาให้โจทก์แพ้คดี โจทก์จึงนำเงินจำนวน 153,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 39,206.25 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย ไว้จำนวน 5,880.94 บาท คงเหลือเงินจำนวน 186,325.31 บาท พร้อมกับค่าทนายความชั้นอุทธรณ์อีกจำนวน 2,000 บาท ฝากเข้าบัญชีเงินฝากประจำของลูกค้าแล้ว นายชัยยุทธชดใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน 51,000 บาท และนางมัณฑนายินยอมผ่อนชำระชดใช้เงินคืนแก่โจทก์แล้วจำนวน 51,000 บาท แล้วศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ตรวจดูจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขให้แน่ชัด และมิได้ดำเนินการติดตามลูกค้าไปยืนยันในเวลาอันรวดเร็วว่ามีการทำรายการผิดพลาดและขอให้นำสมุดคู่ฝากมาปรับปรุงให้ถูกต้อง ทำให้เกิดเป็นข้อกล่าวอ้างแก่ลูกค้าในการฟ้องร้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 905/2535 (ที่ถูก คดีหมายเลขดำที่ 970/2535) ของศาลจังหวัดชลบุรี ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขาดความรอบคอบระมัดระวังในการปฏิบัติงาน ประมาทเลินเล่อ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์และเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ นายชัยยุทธ นางมัณฑนา และจำเลยที่ 2 ได้มีโอกาสเบิกความเป็นพยานให้แก่โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 970/2535 ของศาลจังหวัดชลบุรีซึ่งแสดงว่า โจทก์ได้ให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 ได้แก่ข้อกล่าวอ้างของลูกค้าอย่างเต็มที่แล้วแต่ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดชลบุรีให้โจทก์ชดใช้เงินจำนวน 153,000 บาทคืนให้แก่ลูกค้า ซึ่งโจทก์ได้ชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ลูกค้าแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากนายชัยยุทธ นางมัณฑนาและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดและปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน ให้ร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ได้ เมื่อนายชัยยุทธและนางมัณฑนาชดใช้เงินคืนแก่โจทก์รวมกันเป็นเงินจำนวน 102,000 บาท และยังขาดอยู่อีกจำนวน 51,000 บาท จำเลยที่ 2 ก็จะต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่งส่วนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ไว้กับโจทก์ ก็จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย แต่ไม่เกินวงเงินที่จำกัดไว้ตามสัญญาค้ำประกันความเสียหายคือไม่เกินจำนวน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยผิดนัดอัตราเดียวกัน เหตุคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2534 โจทก์แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการสอบสวนความผิดทางวินัยแก่นายชัยยุทธ นางมัณฑนา และจำเลยที่ 2 แล้วแจ้งผลการพิจารณาโทษทางวินัยให้จำเลยที่ 2 ทราบเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2535 ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง แต่การที่นายชัยยุทธ นางมัณฑนา และจำเลยที่ 2 กระทำการตามหน้าที่ แต่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขาดความรอบคอบระมัดระวังในการปฏิบัติงาน ประมาทเลินเล่อ นายชัยยุทธทำรายการเบิกถอนเงินในบัญชีของลูกค้าผิดพลาดและร่วมกับนางมัณฑนาดำเนินการแก้ไขรายการโดยพลการจนเป็นเหตุให้ลูกค้าฟ้องเรียกร้องเงินคืนจากโจทก์ และโจทก์ต้องชดใช้เงินคืนให้แก่ลูกค้าดังกล่าวคือนายอรุณและนางวรรณศิริ ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 970/2535 ของศาลจังหวัดชลบุรีไปแล้ว โจทก์จึงมาใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นต้นเหตุ ทำความเสียหายและจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 ไว้กับโจทก์ สิทธิของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นสิทธิไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 วรรคหนึ่ง อายุความเกี่ยวกับสิทธิดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ย่อมมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 โดยจะต้องเริ่มนับแต่วันที่โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายอรุณและนางวรรณศิริ คือวันที่ 20 ธันวาคม 2537 ตามเอกสารการลงบัญชีหมาย จ.7 ซึ่งเป็นเวลาขณะที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ประมาทเลินเล่อ แก้ไขรายการบัญชีเงินฝากของลูกค้าโจทก์โดยไม่มีสิทธิ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยต้องนำเงินเข้าบัญชีคืนให้แก่ลูกค้ารายนายอรุณและนางวรรณศิริ นุติเจริญกุล ไปเป็นเงิน 153,000 บาท จึงเป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์ เมื่อกฎหมายมิได้กำหนดอายุความในกรณีนี้ไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โดยอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 คดีนี้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ประมาทเลินเล่อ แก้ไขรายการบัญชีเงินฝากของลูกค้าโจทก์ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2534 โจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2534 ผลการสอบสวนได้ความว่า จำเลยที่ 2 นายชัยยุทธ พลายแก้ว นางมัณฑนา โพธิ์เงิน ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องประมาทเลินเล่อขาดความรอบคอบในการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์เท่าที่ควร โจทก์มีคำสั่งลงโทษตัดเงินเดือนจำเลยที่ 2 นายชัยยุทธ และนางมัณฑนาคนละร้อยละ 15 มีกำหนด 3 เดือน นับตั้งแต่การจ่ายเงินเดือนงวดประจำวันที่ 15 เมษายน 2535 เป็นต้นไป โดยมีหนังสือฉบับลงวันที่ 9 เมษายน 2535 แจ้งไปยังนายศิริพันธ์ จันทรสมบัติ ผู้จัดการโจทก์สาขาศรีราชา และจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ท้ายหนังสือดังกล่าว ดังนี้ อายุความเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานอย่างช้าจึงเริ่มนับแต่วันที่โจทก์แจ้งผลการสอบสวนให้จำเลยที่ 2 ทราบ คือ วันที่ 9 เมษายน 2534 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนี้ได้เป็นต้นไปโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 จึงพ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76 วรรคหนึ่ง อายุความเริ่มนับแต่วันที่โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายอรุณและนางวรรณศิริ นุติเจริญกุล คือวันที่ 20 ธันวาคม 2537 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง