ทำอย่างไรดี เมื่อหนูฉี่รดที่นอน
ปัญหานี้คุณแม่มักจะเจออยู่ประจำในตอนเช้าเมื่อเจ้าตัวน้อยวัยประถมยังคงนอนชุ่มอยู่บนที่นอน ทั้ง ๆที่ไม่น่าจะยังฉี่รดที่นอน
บางทีพ่อแม่อาจมองข้ามคิดว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กแท้จริงแล้ว การฉี่รดที่นอนมีช่วงเวลาของเด็ก แต่ถ้าหากเกินช่วงเวลา หรือวัยมาแล้วการฉี่รดที่นอนบ่อยๆ ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าเด็กคนนั้นอาจมีปัญหาและความผิดปกติของร่างกายและจิตใจก็ได้
พญ.เพียงทิพย์ หังสพฤกษ์จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นโรงพยาบาลมนารมย์กล่าวว่า
การที่เด็กฉี่รดที่นอนนั้นถือเป็นเรื่องปกติตามวัยของเด็กอาจพบได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจน
ถึงวัยอนุบาลโดยปกติแล้วเด็กผู้หญิงจะฉี่รดที่นอนไม่เกิน 5 ขวบ ส่วนเด็กชายจะไม่
เกิน 6 ขวบ ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะหายไปเร็วกว่านี้แต่ถ้าหากบางคนหยุดฉี่รดที่นอนไป
แล้วก่อน 5 - 6 ขวบ แล้วพออายุ 10 ขวบกลับมาฉี่รดที่นอนอีกสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง
ติดต่อกันมากกว่า 3 เดือนแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติแล้วหรือเด็กบางคนแม้จะเกิน
6 ขวบมาแล้วแต่ก็ยังฉี่รดที่นอนอยู่บ่อย ๆ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งก็ถือว่าเป็นเรื่อง
ไม่ปกติเช่นกัน
พญ.เพียงทิพย์ ระบุว่า สาเหตุของการฉี่รดที่นอนเกิดจาก 2 ปัจจัย คือความ
ผิดปกติทางร่างกาย และความผิดปกติด้านจิตใจ
สำหรับปัจจัยทางกายนั้นอาจเกิดจากการที่ร่างกายผลิตน้ำมากเกินไปทำให้ปัสสวะบ่อย ๆ หรือไม่ก็เป็นเรื่องของทางเดินปัสสวะที่ผิดปกติกระเพาะปัสสวะมีการติดเชื้อ และสุดท้ายอาจเกิดจากระบบประสาทในร่างกายเช่นเป็นเนื้องอก ซีส เป็นต้น หรืออาจเกิดจากพฤติกรรมบางอย่างของเด็ก เช่นเด็กชายมีการกระตุ้นอวัยวะเพศให้แข็งตัวในตอนกลางคืนก่อนนอน ก็อาจฉี่รดที่นอนได้ ส่วนความผิดปกติทางด้านจิตใจนั้นความเครียดถือเป็นสาเหตุสำคัญที่เด็กอาจฉี่รดที่นอนได้เช่นเด็กอาจเครียดที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน เครียดเพราะถูกครูดุ เพื่อนแกล้งการบ้านเยอะ กังวลว่าพ่อแม่จะเสียชีวิต กลัวผีหรือกลัวความมืดไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำ จนฉี่รดที่นอน
นอกจากนี้เด็กที่มีพฤติกรรมงอแง ไม่ยอมกินข้าว ไม่อาบน้ำเองไม่นอนคนเดียว ติดพ่อแม่มากขึ้น หรือไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองในสิ่งที่เคยทำได้แล้วก็ถือว่ามีปัญหาด้านภาวะจิตใจ ส่งผลให้เด็กโตแล้วยังฉี่รดที่นอนอยู่บ่อยๆ
"ปกติพ่อแม่ที่มาปรึกษามักไม่ได้มาเล่าเรื่องลูกฉี่รดที่นอนมากเท่าไหร่แต่จะมาปรึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกมากกว่า เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว งอแง ติดแม่หรือบางทีลูก
เครียด เมื่อหมอซักถามไปเรื่อยๆก็พบว่าพฤติกรรมของเด็กส่งผลให้เด็กฉี่รดที่นอนได้
เหมือนกัน"
การรักษาเด็กที่มีอายุเกินวัยและฉี่รดที่นอนนั้นจิตแพทย์ แนะนำว่า พ่อแม่ควรพาเด็กไปพบกุมารแพทย์เพื่อตรวจร่างกายหาความผิดปกติเช่น ตรวจปัสสวะ และซักประวัติหากพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสสวะ พบว่ามีการติดเชื้อแพทย์ก็จะรักษาได้ตรงจุดซึ่งการรักษาก็จะมีทั้งการรับประทานยาการพ่นยาเข้าจมูก การใช้นาฬิกาปลุกเพื่อเป็นการฝึกสมองให้ควบคุมการปัสสวะให้เป็นเวลา
หรือการใช้เครื่องปลุกฉี่ที่จะมีสายเสียบเข้าไปในกางเกงใน แล้วเชื่อมต่อไปยังนาฬิกาปลุกเมื่อเด็กปัสสวะออกมานิดหนึ่ง นาฬิกาก็จะดังขึ้น เด็กก็จะตื่นแต่พอหลังจากใช้เครื่อง ไปสักพักหนึ่งเมื่อเด็กตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ากางเกงและที่นอนไม่เปียกแสดงว่าเขาตื่นทัน อีกหน่อยก็จะเลิกใช้เครื่องไปเองและเด็กก็จะหายจากการฉี่รดที่นอน
ส่วนวิธีการรักษาเด็กที่มีความผิดปกติทางจิตใจนั้นก่อนอื่นพ่อแม่ควรจะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กด้วย
เช่นการพูดแนะนำว่าเขาสามารถควบคุมการปัสสวะได้ด้วยตนเองก่อนนอนให้เขานึกว่าถ้าเวลาเขาปวดปัสสวะเขาจะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำให้เขาลองเปรียบเทียบและนึกถึงตอนที่เขาอยากไปเที่ยวแล้วต้องตื่นเช้าเขาก็ยังตื่นได้พยายามทำให้เขารู้สึกตัวเวลาเขาอยากจะปัสสวะแล้วตอนเช้าก็ให้รางวัลกับตัวเองแต่ถ้าหากเขาทำไม่ได้เขาจะต้องยอมเก็บผ้าปูที่นอน ซักกางเกงใน กางเกงนอนที่เปื้อนฉี่ของตัวเองพ่อแม่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเรื่องผ้าปูที่นอนหรือกางเกงลูกที่เปื้อนฉี่ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเด็กถือเป็นการสอนให้เด็กมีความรับผิดชอบในส่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระตุ้นให้เด็กอยากหยุดฉี่รดที่นอนไปเองเพราะว่าหากเขาต้องเก็บผ้าปูที่นอนทุกวันๆ เขาก็จะเบื่อไปเอง
พญ.เพียงทิพย์ยังได้ฝากข้อคิดสำหรับพ่อแม่ไว้ด้วยว่า
"ต้องเชื่อว่าเด็กสามารถควบคุมได้ส่วนหนึ่งเพราะฉะนั้นหากเด็กฉี่รดที่นอนพ่อแม่ไม่ควรตำหนิหรือว่าเขาว่าทำไมยังฉี่รดที่นอนอยู่ทั้ง ๆ ที่โตแล้วสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำก็คือ การปลุกลูกล่วงหน้าก่อนที่ลูกจะปวดฉี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะการปลุกให้ลูกมาฉี่ก่อนที่เขาจะปวดฉี่เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้ที่นอนเปียกเท่านั้นเองแต่ถ้าหากอยากให้ลูกหายก็ควรอาจจะต้องปรึกษากุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก หรือจิตแพทย์เด็กร่วมด้วยเพื่อทำการรักษาไปพร้อมๆกัน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ"
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก
ไทยรัฐ