ภัยจากการใช้ small talk
ถ้าผลกระทบหรืออันตรายต่อสมองของมนุษย์เกิดเนื่องมาจากคลื่นที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ การใช้ hands-free และนำตัวเครื่องโทรศัพท์ติดไว้บริเวณเข็มขัดหรือใส่ในกระเป๋าเสื้อ, กางเกงจะทำให้ตัวเครื่องโทรศัพท์อยู่ไกล จากบริเวณศีรษะ ช่วยลดผลของความแรงของคลื่นที่จะแผ่เข้าสู่สมองได้ เราจะได้ใช้มือถือได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล?? ถ้าใครกำลังคิดอย่างที่ว่านี้อยู่ลองมาอ่านบทความเรื่องนี้ดูกันมีการศึกษาและทดสอบในประเทศอังกฤษหลายครั้งที่ยืนยันว่า
ตัวเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่จะทำงานที่ระดับกำลังส่งที่สูงขึ้นและแผ่รังสีออกมาในปริมาณมากขึ้นเมื่อวางตัวเครื่องโทรศัพท์อยู่ในระดับต่ำลง(เช่นเหน็บไว้ที่เอว) ส่วนการใช้ hands-free นั้นคลื่นจะสามารถเคลื่อนที่ผ่านไปตามสายที่ต่อกับตัวหูฟังและเข้าสู่สมองโดยผ่านทางช่องหูโดยตรงและเมือเรานำตัวเครื่องโทรศัพท์มาติดไว้บริเวณเข็มขัด ขณะเราใช้งานรังสี (RF) ที่แผ่ออกมาจากตัวเครื่องก็จะแผ่เข้าสู่บริเวณที่อยู่รอบๆซึ่งในบริเวณดังกล่าว ร่างกายจะสามารถดูดซับปริมาณรังสี ได้มากกว่าบริเวณศีรษะเนื่องจากเนื้อเยื่อและอวัยวะบริเวณนั้นเช่น ตับและไตจะได้รับปริมาณรังสีโดยตรงไม่เหมือนบริเวณสมองที่ยังมี กะโหลกศีรษะห่อหุ้มป้องกันอยู่ จึงอาจทำให้เกิดความผิดปกติในอวัยวะบริเวณนั้นได้อีกด้วย(รายละเอียดเพิ่มเติมของการวิจัยได้ที่ http://www.rfsafe.com/Danger_of_Hands_free_kits.htm)
จากบทความข้างต้นคงจะเห็นว่า hands-free คงไม่ได้ช่วยคุณให้ปลอดภัยจากรังสี RF (microwave) ที่ปล่อยออกมาจากตัวเครื่อง โทรศัพท์และอาจจะทำให้เกิดอันตรายมากขึ้นถ้าใช้ไม่ถูกวิธี ดังนั้นการใช้โทรศัพท์เฉพาะเวลาที่จำเป็นและไม่คุยนานเกินไป ก็คงจะเป็นทางป้องกันที่ดีที่สุดทั้งสุขภาพกายและก็สุขภาพเงินในกระเป๋าของเราด้วยนะจ๊ะ
เตือน : ดูทีวี - เล่นคอม มากก่อโรค
ดูทีวีมากเกินไป ก่อโรคระบบทางเดินหายใจ
เด็ก ๆ และเยาวชนที่ชอบดูทีวีเป็นเวลานาน ๆ มีความเสี่ยงกับโรคระบบทางเดินหายใจ
ทั้งนี้ ดีเตอร์ โคฮ์เลอร์ กรรมการวิชาการจากสมาคมโรคปอดและทางเดินหายใจในประเทศเยอรมนี กล่าวว่า เด็ก ๆ และเยาวชนที่ดูทีวีเกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงสูงกับโรคหลอดลมถึง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่ดูทีวีวันละหนึ่งชั่วโมง
เหตุผล ก็คือ การนั่งดูทีวีนาน ๆ ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายน้อย และกินอาหารที่มีไขมันและเกลือมากเกินไป ส่งผลให้เด็ก ๆ มีน้ำหนักเกินและเสี่ยงกับโรคหืด เพราะเรารู้กันอยู่แล้วว่า โรคหืดในผู้ใหญ่ที่อ้วน มีมวลร่างกาย (BMI) มากเกินกว่า 30 เท่า และเด็ก ๆ ก็จะมีลักษณะคล้าย ๆ กับผู้ใหญ่กลุ่มนี้ คือ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินที่ชอบนั่งดูทีวีหรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ นาน ๆ ก็จะหายใจตื้น ที่จะส่งผลร้ายแก่ปอดของเด็กที่ยังต้องมีพัฒนาการและเจริญเติบโต และการขาดการเคลื่อนไหวร่างกายก็จะทำให้หายใจตื้นเช่นกัน จึงทำให้ไม่ได้บริหารปอด เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่เล่นกีฬา
นอกจากนี้ การไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวก็จะทำให้ปอดได้รับอากาศน้อยเกินไป และอาจทำให้ติดเชื้อได้ ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้มีความเสี่ยงสูงกับโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ฉะนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ปอดของเด็กที่เป็นโรคหืดทำงานได้ดีขึ้น