คำพิพากษาฎีกาที่ 6095 - 6096/2551
เรื่อง มีอำนาจลงลายมือชื่อในเช็ค ไม่ตรวจสอบการเขียนรายละเอียดในเช็ค รู้เห็นเป็นใจและเป็นเหตุให้มีการทุจริต เป็นกระทำความผิดร้ายแรง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาคดีเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเคยเป็นพนักงานของจำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ตำแหน่งสุดท้ายของโจทก์ที่ 1 เป็นหัวหน้ากองตรวจรายได้ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 19,910 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการขนส่งระหว่างประเทศ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 18,000 บาท วันที่ 20 มีนาคม 2546 จำเลยมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอีสเทอร์นปิโตรเลียม ในนามของจำเลยโดยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งคณะรัฐมนตรีอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับว่าด้วยวินัยพนักงาน พ.ศ. 2521 ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 จำเลยได้มีคำสั่งที่ กอ.248/2546 ลงโทษโจทก์ทั้งสองให้ไล่โจทก์ทั้งสองออก ฐานประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยสรุปข้อเท็จจริงตามสำนวนสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายเช็คให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอีสเทอร์นปิโตรเลียม หลายฉบับแต่ห้างดังกล่าวได้รับเงินไม่ครบและเงินที่โอนเข้าบัญชีของห้างเป็นเงินที่โอนมาจากบัญชีของนายธงชัย สถาปิตานนท์ ไม่ใช่โอนจากเช็คของจำเลย นายธงชัยไม่ใช่ผู้มีสิทธิได้รับชำระเงินจากจำเลย การไม่ทำตามคำสั่งคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจ่ายเช็คเปิดช่องให้นายธงชัยเบิกเงินตามเช็คไปเป็นของตน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่มีความผิด เป็นการเลือกปฏิบัติ ไม่มีหลักเกณฑ์และวิธีการที่แน่นอน และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ความจริงโจทก์ทั้งสองได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติเดิมที่ถือปฏิบัติมาก่อน โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เขียนข้อความระบุชื่อนายธงชัยเป็นผู้รับเงินตามเช็คดังกล่าว นายธงชัยไม่ใช่ผู้ไม่มีสิทธิรับชำระเงินจากจำเลย จำเลยไม่ได้เสียหายไม่ได้ถูกห้างดังกล่าวฟ้องร้องและไม่ได้แพ้คดีจนถึงขนาดต้องเลิกจ้างเฉพาะโจทก์ทั้งสองการถือเอามูลเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองขึ้นอ้างจึงเป็นการสร้างเรื่องขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายต้องตกงานขาดรายได้ประจำคิดเป็นค่าเสียหายคือ ค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายนับจนถึงวันที่โจทก์ทั้งสองเกษียณอายุ 60 ปีเป็นเวลา 7 ปี และ 8 ปี เป็นเงิน 1,672,440 บาท และ 1,728,000 บาท ตามลำดับ ค่าเสียหายเท่ากับเงินเบี้ยเลี้ยงชีพซึ่งจำเลยต้องจ่ายในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเดือนสุดท้าย เป็นรายเดือนติดต่อกันตลอดชีวิต เป็นเวลาคนละ 15ปี เป็นเงิน 716,760 บาท และ 648,000 บาท ตามลำดับ ค่าเสียหายเท่ากับเงินบำเหน็จซึ่งจำเลยต้องจ่ายในอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานกับจำเลย โจทก์ทั้งสองทำงานกับจำเลย 34 ปี และ 30 ปี เป็นเงิน 676,940 บาท และ 540,000 บาท ตามลำดับ และจำเลยค้างจ่ายค่าสวัสดิการพนักงานเป็นค่าช่วยเหลือการศึกษาบุตรและค่ารักษาพยาบาลสำหรับโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 5,784 บาท กับค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน3,066,140 บาท ของโจทก์ที่ 2 จำนวน 2,939,784 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 3,066,140 บาท และจำนวน 2,939,784 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองตามลำดับ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า ขณะเกิดกรณีพิพาทโจทก์ที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้ากองคลังเงินโดยสารงานขึ้นตรงต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินของจำเลย มีอำนาจหน้าที่ตามข้อกำหนดลักษณะงานในตำแหน่งหัวหน้ากองคลังเงินและหัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินตามระเบียบและคำสั่งของจำเลย เช่น การเก็บรักษาเงินสด เช็ค ออกเช็คเพื่อถอนเงินจากธนาคารใช้จ่ายในกิจการของจำเลย วางวิธีการและควบคุมงานในด้านการบัญชีและการเงินเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปได้ด้วยดี ควบคุมปกครองบังคับบัญชาและสั่งการให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามหน้าที่ และโจทก์ทั้งสองยังมีอำนาจหน้าที่ลงลายมือชื่อร่วมกันสั่งจ่ายเงินตามเช็คในกิจการและธุรกิจของจำเลยให้แก่บุคคลอื่น โดยต้องปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยการลงนามในใบคำสัญจ่ายเงิน เช็ค และความรับผิดชอบของผู้ลงนาม พ.ศ. 2505 ของจำเลยและตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2531 ระหว่างเดือนมีนาคม 2543 ถึงเดือนสิงหาคม 2544 โจทก์ทั้งสองร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินตามเช็คจำนวนหลายฉบับในกิจการของจำเลยเพื่อเป็นค่าขนส่งน้ำมันให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอีสเทอร์นปิโตรเลียม โดยมิได้ปฏิบัติตามข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งให้ผู้ออกเช็คขีดคร่อมเช็ค ขีดฆ่าคำว่า หรือผู้ถือ หรือตามคำสั่ง และขีดเส้นตรงหลังชื่อสกุล ชื่อบริษัท หรือชื่อห้างหุ้นส่วน ไปจนชิดคำว่า หรือผู้ถือ หรือตามคำสั่ง เป็นเหตุให้ห้างดังกล่าวไม่ได้รับชำระหนี้และฟ้องจำเลยให้ชำระตามคดีหมายดำที่ กค.168/2545 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจากการตรวจสอบพบว่าเช็คจำนวน 5 ถึง 6 ฉบับ ที่โจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอีสเทอร์นปิโตรเลียม มีชื่อนายธงชัย สถาปิตานนท์ เป็นผู้รับเงินด้วย จำเลยสอบถามโจทก์ที่ 1 ถึงเหตุผลที่เขียนเช็คดังกล่าว โจทก์ที่ 1 ให้เหตุผลว่านางสาวปิยฉัตร จุลเสวก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้แก้ไขเช็คภายหลังที่ได้ส่งมอบเช็คแล้ว จำเลยจึงตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ทั้งสองตามคำสั่งลงวันที่ 20 มีนาคม 2546 ผลการสอบสวนปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คโดยไม่ได้กำกับควบคุมให้มีการขีดเส้นตรงหลังชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอีสเทอร์นปิโตรเลียม เป็นช่องทางให้มีการเติมชื่อนายธงชัย ทำให้นายธงชัยได้รับเงินตามเช็ค เช็คบางฉบับมีการเติมชื่อนายธงชัยไว้ก่อนที่โจทก์ทั้งสองจะลงลายมือชื่อสั่งจ่าย ถือว่าโจทก์ทั้งสองมีส่วนรู้เห็น โจทก์ทั้งสองมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี จะต้องใช้ความระมัดระวังยิ่งกว่าพนักงานที่ทำหน้าที่อื่นๆ โจทก์ทั้งสองสามารถป้องกันและควบคุมให้มีการปฏิบัติตามข้อบังคับของจำเลยและมติคณะรัฐมนตรีได้แต่ไม่ทำ ถือว่าโจทก์ทั้งสองปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้นายธงชัยได้ประโยชน์รับเงินตามเช็คอันมิควรได้ เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยวินัยพนักงาน พ.ศ. 2521 ข้อ 7 ข้อ 8 คณะกรรมการของจำเลยจึงมีมติไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงาน ซึ่งเป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมโจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยไม่เคยค้างชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกเงินใด ๆ จากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลยขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองคลังเงิน โจทก์ที่ 2 รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีอำนาจร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คแทนจำเลย และได้ร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย ล.19 และเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย ล.21 เพื่อชำระค่าขนส่งให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอีสเทอร์นปิโตรเลียม ต่อมาห้างดังกล่าวได้ฟ้องจำเลยต่อศาลอ้างว่าได้รับเงินค่าขนส่งไม่ครบถ้วน และเงินที่โอนเข้าบัญชีห้างแทนที่จะเป็นเงินจากเช็คของจำเลย กลับกลายเป็นการโอนเงินจากบัญชีของนายธงชัย สถาปิตานนท์ และจากการตรวจสอบเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายไปปรากฏว่าเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย ล.21 จำนวน 5 ฉบับ ที่โจทก์ทั้งสองร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแทนจำเลยนั้น ออกโดยฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยและฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ ไม่มีการขีดคร่อมเช็ค (ยกเว้นฉบับที่ 5) ไม่มีการขีดเส้นตรงหลังชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอีสเทอร์นปิโตรเลียม จนชิดคำว่า "หรือผู้ถือ" ซึ่งโจทก์ทั้งสองเป็นหัวหน้าหน่วยงานของจำเลยมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินการบัญชีและการอออกเช็คสั่งจ่ายของจำเลย จึงต้องรู้ระเบียบต่างๆ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ในช่องจ่ายเงินให้ใคร แทนที่จะมีชื่อห้างดังกล่าวซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้รับเงินเพียงผู้เดียว กลับมีการเพิ่มชื่อนายธงชัยเป็นผู้รับเงินได้รับด้วยโดยไม่มีหลักฐานการมอบอำนาจจากห้างดังกล่าวมาแสดง เช็คพิพาทตามเอกสารหมาย ล.21 ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 โจทก์ที่ 1 เป็นคนสั่งให้นางสาวปิยฉัตร จุลเสวก ผู้เขียนเช็คเติมชื่อนายธงชัยเพิ่มเข้าไปเป็นผู้รับเงินด้วย หลังจากนั้นนางสาวปิยฉัตรจึงเขียนเช็คโดยเพิ่มชื่อนายธงชัยเป็นผู้รับเงินในเช็คอีกหลายฉบับตามเอกสารหมาย ล.21 ฉบับที่ 3 ถึงฉบับที่ 5 ซึ่งโจทก์ทั้งสองแทนที่จะแก้ไขกลับลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คที่มีชื่อนายธงชัยเป็นผู้รับเงินด้วยตลอดมา การกระทำของโจทก์ทั้งสองมีเจตนาฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลย และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือมติคณะรัฐมนตรี จึงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสองผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นธรรมหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่าการสอบสวนทางวินัยโจทก์ทั้งสองของจำเลย โดยแต่งตั้งนายสิงขร ประสารวรรณ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนซึ่งนายสิงขรมีสาเหตุขัดแย้งกับโจทก์ที่ 2 มาก่อนจึงมีเหตุอันควรสงสัยเป็นไปในทางกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอง ผลการสอบสวนจึงสรุปว่าโจทก์ทั้งสองทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ทั้งที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดก็ดี การกระทำของโจทก์ทั้งสองถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่กำกับควบคุมผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่โดยให้ขีดเส้นตรงหลังชื่อสกุล ชื่อบริษัท หรือชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ลากยาวไปจนชิดคำว่า "หรือผุ้ถือ" หรือ "ตามคำสั่ง" โดยมิได้เจตนาแต่เป็นเพราะว่าโจทก์ทั้งสองไม่ทราบรายละเอียดดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรี โจทก์ทั้งสองมิได้รู้เห็นเป็นใจหรือสมรู้ร่วมคิดหรือมีผลประโยชน์ในเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด กรณีจึงถือว่าเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยก็ดี ล้วนเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่า โจทก์ที่ 1 เป็นคนสั่งให้นางสาวปิยฉัตรผู้เขียนเช็คเติมชื่อนายธงชัยเพิ่มเข้าไปเป็นผู้รับเงินในเช็คพิพาทฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2 และโจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทฉบับที่ 3 ถึงฉบับที่ 5 ที่มีชื่อนายธงชัยเป็นผู้รับเงิน ทั้งที่นายธงชัยไม่มีสิทธิโดยโจทก์ทั้งสองรู้ระเบียบข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่จงใจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมิใช่โจทก์ทั้งสองเพียงแต่ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาตามที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง