คำพิพากษาฎีกาที่ 1357/2551
เรื่อง กระทำความผิดให้เลือกจะเลิกจ้างหรือลาออกเองได้
โจทก์กระทำความผิด สั่งซื้อและอนุมัติการสั่งซื้อเครื่องแบบพนักงานโดยไม่มีอำนาจ จำเลยให้โจทก์เลิกว่าจะให้เลิกจ้างหรือลาออกเอง โจทก์เลือกลาออกเองโดยสมัครใจ ไม่ถือเป็นการบีบบังคับหรือเจตนาลวงให้โจทก์ลาออก
คดีนี้เดิมศาลแรงงานภาค 2 สั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีหมายเลขแดงที่ รย.502/2548 และ รย.503/2548 แต่คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีของศาลแรงงานภาค 2 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้ และให้เรียกชื่อคู่ความใหม่ว่า โจทก์และจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2542 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 70,000 บาท และค่าเช่าบ้าน 7,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2548 จำเลยบีบบังคับให้โจทก์ลาออกจากงาน ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมา ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 64,166.67 บาท ค่าชดเชย 616,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 154,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 462,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลย แต่โจทก์ปกปิดการกระทำของพนักงานอื่นเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจำเลยอันเป็นการผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรง และจำเลยได้ตรวจพบว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต คือ โจทก์เป็นพนักงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกเงินเดือน แต่โจทก์ได้ใช้รหัสอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีไว้สำหรับพนักงานฝ่ายจัดซื้อผู้มีหน้าที่เฉพาะ สั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์สำนักงานจากบุคคลภายนอกในนามของบริษัทจำเลยโดยไม่มีอำนาจกระทำได้ คิดเป็นมูลค่า 1,600,000 บาทเศษ การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำนอกเหนือหน้าที่โดยมิได้รับอนุมัติจากจำเลยเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากผู้บังคับบัญชาและแผนกงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัทจำเลยอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ไปโดยถูกต้องและสุจริต ซึ่งจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า แต่เพื่อมิให้โจทก์มีประวัติด่างพร้อยในการทำงาน โจทก์จึงได้สมัครใจขอลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2548 จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินใด ๆ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการแผนกเงินเดือนและค่าจ้าง มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องเงินเดือนของพนักงานจำเลยและอนุมัติซื้อหรือจ่ายเงินในวงเงินไม่เกิน 5,000 บาท ได้รับค้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 70,000 บาท โจทก์ได้สั่งซื้อและอนุมัติการซื้อเครื่องแบบพนักงานโดยใช้รหัสผ่านของนายจักรกฤษ์ พรหมสิทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลซึ่งลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลยไปก่อนแล้วโดยที่โจทก์ไม่มีอำนาจอนุมัติ ต่อมากรรมการผู้จัดการจำเลยตรวจพบจึงได้เรียกประชุมผู้บริการแล้วมีความเห็นไม่ไว้วางใจการทำงานของโจทก์จึงเสนอทางเลือกต่อโจทก์ว่าจะให้จำเลยปลดออกหรือโจทก์จะลาออกเอง โจทก์เลือกที่จะลาออกเองจึงลงลายมือชื่อและหมายเลขพนักงานในใบลาออกโดยสมัครใจเพื่อแสดงความรับผิดชอบในการกระทำของโจทก์เอง โจทก์อุทธรณ์โดยสรุปอ้างถึงใบลาออกเอกสารหมาย ล.1 ว่า โจทก์มิได้ลงวันเดือนปีที่การแสดงเจตนาลาออกมีผล ประกอบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและบันทึกข้อกระทำผิดเอกสารหมาย จ.1 และจ. 2 และอ้างเหตุต่างๆ เพื่อให้เห็นว่าจำเลยหลอกลวงบีบบังคับโจทก์ให้ต้องลงลายมือชื่อในใบลาออกเอกสารหมาย ล.1 การลาออกจึงเกิดจากเจตนาลวงและเป็นโมฆะ การที่จำเลยกระทำการดังกล่าวจึงเป็นการแสดงเจตนาเลิกจ้างโจทก์ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายเงินตามคำขอท้ายฟ้องแก่โจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเสนอทางเลือกต่อโจทก์ว่าจะให้จำเลยปลดออกหรือโจทก์จะลาออกเอง แล้วโจทก์เลือกที่จะลาออกเองโดยสมัครใจ ที่โจทก์อุทธรณ์ดังกล่าวก็เพื่อให้ศาลฎีการับฟังว่าโจทก์ไม่ได้ลาออกแต่ถูกจำเลยเลิกจ้าง จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 2 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์