คำพิพากษาฎีกาที่ 1195/2551
เรื่อง ค่าชดเชยจากการเลิกจ้าง สามแสนบาทแรกได้รับยกเว้นภาษี / ไม่ต้องหัก ณ ที่จ่าย
จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย และหักภาษี ณ.ที่จ่ายไว้ เป็นการหักไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากค่าชดเชยที่โจทก์ได้รับจากการเลิกจ้าง สามแสนบาทแรกได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี จึงไม่จำต้องหักภาษี ณ.ที่จ่ายไว้ นายจ้างต้องคืนเงินค่าชดเชยส่วนที่จ่ายขาดไปแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของ
จำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ในตำแหน่งพนักงานแรงงานสัมพันธ์ ได้รับ
ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 72,500 บาท เป็นเงินเดือน 65,000 บาท บัตรเติมน้ำมันแทนเงินสด 7,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 30 ของทุก
เดือน ต่อมาจำเลยได้บอกเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2548 โดยโจทก์
ไม่ได้กระทำความผิด ไม่บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ไม่จ่ายเงินค่าจ้างในเดือน
ที่เลิกจ้างและค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 72,500 บาท
ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 16,500 บาท ค่าจ้างแทนการบอกกล่าว
ล่วงหน้า 72,500 บาท ค่าชดเชย 217,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 880,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม นิติสัมพันธ์
ระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน เลยทำสัญญาจ้างโจทก์เป็น
ที่ปรึกษาทางด้านแรงงานสัมพันธ์ มีกำหนดระยะเวลาของสัญญาแน่นอน 1 ปี
นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2548 โดยให้ค่าตอบ
แทนแก่โจทก์เดือนละ 65,000 บาท สวัสดิการในการเติมน้ำมันตามความเป็น
จริงแต่ไม่เกินเดือนละ 6,300 บาท ต่อมาในวันที่ 30 กันยายน 2548 ซึ่ง
เป็นวันครบกำหนดสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยแจ้งแก่โจทก์ว่าไม่
ประสงค์ต่อสัญญากับโจทก์โดยจำเลยขอจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าตอบแทนอัตรา
สุดท้าย 90 วัน หักภาษีแล้วคงเหลือ 175,500 บาท และโจทก์ได้รับจากจำเลย
ไปแล้วเมื่อเป็นการเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลา จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชยเพิ่มเติม ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อน
ประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และค่าจ้างค้างจ่ายใน
เดือนตุลาคม 2548 พร้อมดอกเบี้ยขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่
เคลือบคลุม จำเลยยอมให้โจทก์ทำงานต่อไปหลังวันที่ 30 กันยายน 2548 ซึ่ง
เป็นวันสิ้นสุดสัญญาจ้างแรงงาน เป็นการต่อสัญญาจ้างแรงงานออกไปโดยไม่มี
กำหนดระยะเวลา จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างเดือนตุลาคม 2548 โจทก์ยังไม่ได้
หยุดพักผ่อนประจำปี 6 วัน จำเลยไม่ได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าจำเลยต้อง
จ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 90 วัน เป็นเงิน 195,000 บาท จำเลยจ่ายแล้ว
175,500 บาท ยังขาดอยู่ 19,500 บาท จำเลยเจตนาไม่ต่ออายุสัญญาจ้าง
แรงงานกับโจทก์ตั้งแต่ก่อนครบกำหนดสัญญา แต่ด้วยความบกพร่องของจำเลย
เองทำให้การแจ้งไม่ต่อสัญญาหรือบอกเลิกสัญญาล่าช้า ไปเป็นการเลิกจ้างที่ไม่
เป็นธรรมแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 65,000 บาท ค่าจ้าง
สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 13,000 บาท ค่าชดเชยส่วนที่ขาด 19,500
บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
65,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ดอกเบี้ยให้นับแต่วันเลิกจ้าง
(วันที่ 2 พฤศจิกายน 2548) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยตั้งแต่วัน
ที่ 1 ตุลาคม 2547 โดยได้ทำสัญญาจ้างแรงงานมีกำหนด 12 เดือน ตั้งแต่วัน
ที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2548 ตามสัญญาจ้างแรงงานเอกสาร
หมาย ล.1 เดิมนางนงลักษณ์ พึ่งสม ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล ต่อมานาง
สาวธัญธร กิริยาพงษ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการกลุ่มฝ่ายทรัพยากรบุคคลและ
การจัดการได้เข้าทำงานกับจำเลยแทนนางนงลักษณ์ก่อนมีการเลิกจ้างโจทก์ไม่
นานหลังจากครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 แล้วในวัน
ที่ 12 และวันที่ 18 ตุลาคม 2548 โจทก์ได้ทำงานในฐานะผู้รับมอบอำนาจของ
จำเลย ต่อมาจำเลยได้บอกเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 จำเลยได้
จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์และโจทก์ได้รับไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 175,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า จำเลยมิได้มีเจตนาให้
โจทก์ไปทำงานในฐานะผู้รับมอบอำนาจ จำเลยหลังจากที่ครบกำหนดการจ้าง
ตามสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 การที่โจทก์ไปทำการในฐานะผู้รับ
มอบอำนาจจำเลยเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ความเป็นนาย
จ้างลูกจ้างขึ้นใหม่หลังจากครบกำหนดการจ้างเดิมแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่าย
ค่าจ้างในเดือนตุลาคม 2548 ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และสินจ้าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์แสดงว่าโจทก์
ทำงานตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2548 เป็นการทำงานเกิน
หนึ่งปีแล้วจำเลยเลิกจ้างโดยมิชอบ จึงขอให้จำเลยจ่ายค่าจ้างของเดือนตุลาคม
2548 ค่าชดเชยจากการทำงานครบหนึ่งปีแต่ไม่ครบสามปี ค่าจ้างสำหรับวัน
หยุดพักผ่อนประจำปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการ
เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้คำฟ้องโจทก์ส่วนนี้เพียงว่าโจทก์ไม่
ใช่ลูกจ้างจำเลยและเป็นการครบกำหนดตามสัญญาที่ตกลงกำหนดระยะเวลากัน
ไว้แน่นอนแล้ว โดยไม่ได้ให้การต่อสู้ถึงการทำงานของโจทก์ในเดือนตุลาคม
2548 หลังจากที่ครบกำหนดระยะเวลาจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานแต่อย่างใด
คำให้การจำเลยจึงไม่มีประเด็นว่าการที่โจทก์ทำงานให้จำเลยในเดือนตุลาคม
2548 เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็น
ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522
มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า จำเลยได้จ่ายค่าชด
เชยให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวันแล้ว แต่ได้หักภาษี ณ ที่
จ่าย จำนวน 19,500 บาท แล้วจ่ายส่วนที่เหลือ 175,000 บาท แก่โจทก์ การที่
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เพิ่มอีก 19,500
บาท จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่าตามประมวลรัษฎากร หมวด 3 ภาษีเงินได้ ส่วน 2 การ
เก็บภาษีจากบุคคลธรรม มาตรา 42 (17) บัญญัติให้เงินได้ตามที่จะได้กำหนด
ยกเว้นโดยกฎกระทรวงเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ซึ่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออก
ตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎ
กระทรวง ฉบับที่ 217 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วย
การยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (51) ระบุให้ “ค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับตามกฎหมายว่า
ด้วยการคุ้มครองแรงงาน และค่าชดเชยที่พนักงานได้รับตามกฎมายว่าด้วย
พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ แต่ไม่รวมถึงค่าชดเชยที่ลูกจ้างหรือพนักงานได้รับ
เพราะเหตุเกษียณอายุหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง ทั้งนี้ เฉพาะค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกิน
ค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงานสามร้อยวันสุดท้ายแต่ไม่เกินสามแสน
บาท” เป็นเงินได้ตาม (17) ของมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น
ค่าชดเชยที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เมื่อเลิกจ้างเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 (2) ซึ่งเป็นค่า
ชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้าง หรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงานสามร้อย
วันสุดท้ายและ ไม่เกินสามแสนบาทจึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์ได้รับยกเว้น
ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร และกฎกระทรวง
ข้างต้น และไม่ถือเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร
มาตรา 40 (1) ซึ่งจำเลยเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินจะต้องหักภาษีเงินได้ไว้ทุก
คราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ณ ที่จ่าย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50 ประกอบ
มาตรา 3 จตุทศ จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากค่าชดเชยที่ต้อง
จ่ายให้โจทก์ เมื่อจำเลยหักค่าชดเชยที่ต้องจ่ายแก่โจทก์จึงเป็นการจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ขาดไป 19,500 บาท ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลย
จ่ายค่าชดเชยส่วนที่ขาด 19,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จึงชอบแล้ว
อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น