คำพิพากษาฎีกาที่ 549/2551
เรื่อง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน กำหนด การลาป่วยเท็จถือเป็นการขาดงาน
ลูกจ้างไม่ได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าวและถูกลงโทษทางวินัย แต่มาตรฐานการลงโทษกรณีขาดงาน 1 วัน ไม่ถึงเลิกจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2540 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงาน ครั้งสุดท้ายตำแหน่ง
หัวหน้าฝ่ายควบคุมคุณภาพได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 16,400 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวัน
สิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 7 มีนาคม 2546 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดและไม่ได้
บอกกล่าวล่วงหน้าอันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กับจำเลยไม่ยอมจ่ายค่าครองชีพและปรับค่าจ้าง
ให้โจทก์ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ที่จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยค่าครองชีพและปรับค่าจ้างนั้น
เป็นการจงใจไม่จ่ายโดยปราศจากเหตุอันสมควร ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 98,400 บาท
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 28,973 บาท ค่าครองชีพ 38,900 บาท และให้ปรับค่าจ้างแก่
โจทก์เดือนละ 550 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ถึงเดือนมกราคม 2546 รวมเป็นเงิน 19,800
บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วง
หน้านับแต่วันเลิกจ้าง ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินค่าครองชีพและเงินปรับค่าจ้างเงิน
เพิ่มร้อยละ 15 ของค่าครองชีพและการปรับค่าจ้างทุกระยะ 7 วัน บแต่วันถึงกำหนดชำระแต่ละงวด
และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ของค่าชดเชยทุกระยะ 7 วัน จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยรับโจทก์
กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม พร้อมค่าเสียหายเดือนละ 16,400 บาท
นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่ารับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือจ่ายเสียหาย 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2546
ซึ่งเป็นวันทำงานโจทก์ลาป่วยเท็จ ความจริงโจทก์เดินทางไปทำธุระอื่นที่ศาลแรงงานกลาง จึงเป็น
การทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่
ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต และถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์เป็นพนักงาน
ระดับหัวหน้างาน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าครองชีพและปรับค่าจ้างประจำปีตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ
การจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า เมื่อปี 2536 จำเลยกับผู้แทนลูกจ้างของจำเลยได้
จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ต่อมาได้จัดตั้งสหภาพแรงงานและมีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับ
สภาพการจ้างขึ้น 3 ฉบับ คือฉบับปี 2539 ฉบับปี 2542 และฉบับปี 2545 พนักงานของจำเลยแบ่ง
เป็น 2 ประเภทคือ พนักงานทั่วไปทำหน้าที่ผลิตในสายการผลิตกับพนักงานระดับผู้บังคับบัญชาและ
เจ้าหน้าที่ รายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 และ ล.1 ล.2 ปี 2542 ถึงปี 2545 โจทก์ได้รับ
การปรับค่าจ้าง 1,480 บาท 825 บาท 575 บาท และไม่ปรับตามลำดับ โจทก์มีสิทธิได้รับค่า
ครองชีพ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2546 โจทก์หยุดงานโดยไม่ได้ยื่นใบลาเพื่อมาติดต่อกับนิติกร
ศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับการฟ้องเรียกร้องตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งนายสงกรานต์
ถาวรชาติ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของจำเลยพบโจทก์ในวันดังกล่าว จำเลยจ่ายค่าจ้างเข้าบัญชีโจทก์
ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2546 ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานการลาป่วยเท็จถือเป็นการ
ขาดงาน ลูกจ้างไม่ได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าวและถูกลงโทษทางวินัย แต่มาตรฐานการลงโทษกรณี
ขาดงาน 1 วัน ไม่ถึงเลิกจ้าง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยหยุดงานในวันที่ 28 กุมภาพันธ์
2546 โดยไม่ยื่นใบลา เป็นการขาดงานโดยละทิ้งหน้าที่ เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการ
ทำงาน จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่การขาดงานมีโทษตามระเบียบข้อ
บังคับเกี่ยวกับการทำงานไม่ถึงเลิกจ้าง และถือไม่ได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยจึงต้องจ่าย
ค่าชดเชย ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์และจำเลยมีความขัดแย้งในการทำงาน โจทก์ไม่ใช่
พนักงานทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับการปรับค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างปี 2536 จำเลยไม่
ได้จ่ายค่าครองชีพให้โจทก์ ค่าครองชีพจ่ายเป็นประจำเท่ากันทุกเดือนจึงเป็นการจ่ายตอบแทนการ
ทำงานในระยะเวลาทำงานปกติ จำเลยจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดให้นับ
แต่วันฟ้องศาลไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาท ในส่วนเงินเพิ่มเนื่องจากจำเลยจงใจไม่จ่ายโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้ง จึงไม่เป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยแล้วพิพากษา
ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 98,400 บาท ค่าครองชีพ 38,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อ
ปี นับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2546 สำหรับค่าชดเชยและวันฟ้อง (วันที่ 9 เมษายน 2546) สำหรับ
ค่าครองชีพและจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 98,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ใน
ข้อ 3 (1) ว่ามีข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่จำเลยใช้เป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ตามหนังสือเลิกจ้างที่
ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้พิจารณา การที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานเป็นกระบวนพิจารณาที่
ไม่ชอบนั้น เห็นว่าตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.3 ระบุเหตุเลิกจ้างว่าโจทก์ลาป่วยเท็จ
ซึ่งตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.2 หมวด 7 วันลาและหลักเกณฑ์
การลา ข้อ 7.1 การลาป่วย ข้อย่อย 7.1.2 วิธีการปฏิบัติในการลาป่วยที่เจ็บป่วยไม่สามารถ
มาทำงานได้ (4) กรณีที่จำเลยพิสูจน์ได้ว่าการลาป่วยเป็นเท็จจำเลยถือว่าเป็นการขาดงาน และ
ตามข้อ 7.10 การขาดงานโดยมิได้ลาอย่างถูกต้อง ข้อย่อย 7.10.1 การขาดงานหมายถึงการ
หยุดงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่แจ้งให้จำเลยทราบ ดังนั้น การลาป่วยเป็นเท็จและการหยุด
งานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่แจ้งให้จำเลยทราบ จึงเป็นการขาดงานที่มีโทษทางวินัยเช่นเดียวกัน
ตามข้อย่อย 7.10.1 การที่ศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงแล้วโจทก์แถลงว่าโจทก์หยุดงานโดย
ไม่ยื่นใบลา (ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 มิถุนายน 2546) ซึ่งเป็นกรณีโจทก์หยุดงาน
โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่แจ้งให้จำเลยทราบ อันเป็นการขาดงานนั้น จึงไม่มีเหตุที่ศาลแรงงาน
กลางต้องสืบพยานเพิ่มเติมอีก ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานชอบแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 3 (3) ว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์
เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์หยุดงาน
โดยไม่ไม่ยื่นใบลาในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2546 เป็นเวลา 1 วัน มาตรฐานการลงโทษกรณี
ขาดงาน 1 วัน ไม่ถึงเลิกจ้าง ปรากฏว่าการที่จำเลยหยุดงานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่แจ้งให้
จำเลยทราบเป็นการขาดงานตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.2 หมวด
7 วันลาและหลักเกณฑ์การลา ข้อ 7.10 การขาดงานโดยมิได้ลาอย่างถูกต้อง ข้อย่อย 7.10.1 ซึ่ง
ตามหมวด 9 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 9.5 การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยหรือค่าเสียหายใด ๆ
ไม่ได้กำหนดให้การขาดงาน 1 วัน มีโทษถึงเลิกจ้างจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการ
เลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน
และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่
ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 3 (5) ว่าจำเลยต้องเสียดอกเบี้ย
ในค่าชดเชยและค่าครองชีพในอัตราใด เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ค่าครองชีพที่
จำเลยต้องจ่ายแก่โจทก์นั้นมีการจ่ายเป็นประจำเท่ากันทุกเดือน มีลักษณะการจ่ายทำนองเดียวกันกับ
ค่าจ้าง แล้ววินิจฉัยว่า ค่าครองชีพเป็นเงินที่จ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานสำหรับระยะเวลาการ
ทำงานปกติ จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางเห็นว่า ค่าครองชีพนั้นเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2521 มาตรา 5 และตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าในกรณีนายจ้างไม่
จ่ายค่าจ้างหรือค่าชดเชย ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 15 ต่อ
ปี เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าครองชีพ โดยกำหนดให้จำเลย
เสียดอกเบี้ยในค่าชดเชยและค่าครองชีพในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงชอบ
แล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2.1 ว่า จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทน
การบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย
ล.2 ข้อ 7.2.2 ระบุวิธีปฏิบัติในการขออนุมัติลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็นให้ยื่นใบลาขออนุมัติต่อผู้บังคับ
บัญชาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันทำงาน เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงจะหยุดงานได้ หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ให้พนักงานรีบแจ้งจำเลยหรือผู้บังคับบัญชาทราบโดยทันทีหรือภายในเวลา
ไม่เกิน 3 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ทราบเหตุฉุกเฉิน และให้ยื่นใบลาพร้อมหลักฐานหรือแสดงเหตุผลอัน
สมควรต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อขออนุญาตลากิจในวันแรกทันทีที่กลับเข้าทำงาน มิฉะนั้นจะถือว่าขาดงานและถูกพิจารณาลงโทษทางวินัย และในข้อ 7.10 ระบุให้การขาดงานหมายถึงการไม่มีเหตุอันสมควรพนักงานจะถูกลงโทษทางวินัย การที่โจทก์ไปติดต่อนิติกรศาลแรงานในวันที่ 28 กุมภาพันธ์
2546 โดยไม่ลาให้ถูกต้องตามวิธีปฏิบัติในการขออนุมัติลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็นตามระเบียบ
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว จึงเป็นการละทิ้งการงานไป ซึ่งจำเลยไล่ออกโดยมิพักต้องบอก
กล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 ส่วน
การที่ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จ.2 กำหนดโทษการขาดงานไม่เกิน 3 วัน
ไว้ไม่ถึงกับเลิกจ้างแต่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุนี้ ต้องไปว่ากล่าวกันในเรื่องการเลิกจ้างที่ไม่เป็น
ธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ที่โจทก์
อุทธรณ์ว่าหากโจทก์ยื่นใบลาต่อจำเลยเพื่อไปฟ้องจำเลย จำเลยก็คงไม่อนุญาตให้โจทก์หยุด
งาน โจทก์จึงไม่มีช่องทางอื่นที่จะไปติดต่อศาลเพื่อใช้สิทธิตามกฎหมายได้นั้น ก็เป็นแต่เพียงการ
คาดการณ์ของโจทก์โดยยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ขออนุมัติลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็นตาม
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.2 แล้วจำเลยไม่อนุมัติแต่อย่างใดจึงยังไม่อาจ
ถือเอาการใช้สิทธิทางศาลมาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานได้
ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ จึงชอบ
แล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2.2 ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มจาก
ค่าชดเชยและค่าครองชีพหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์มิได้กระทำ
ความผิด จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยและเงินเพิ่มแก่โจทก์ และจำเลยไม่จ่ายค่าครองชีพให้แก่
โจทก์จำเลยจึงต้องต้องจ่ายค่าครองชีพและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ซึ่งจำเลยให้การว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืน
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์และโจทก์เป็นพนักงาน
ระดับหัวหน้างาน ไม่มีสิทธิได้รับค่าครองชีพ เป็นกรณียังมีข้อโต้เถียงว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชย
และค่าครองชีพแก่โจทก์หรือไม่ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์โดยปราศ
จากเหตุอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองครอง
แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคสอง
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2.3 ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับการปรับ
ค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.2 หรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ยุติใน
ชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏว่าในปี 2536 จำเลยกับผู้แทนลูกจ้างของจำเลยได้จัดทำ
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย ล.1 หลังจากนั้นจึงมีการจัดตั้งสหภาพแรงงาน
แอคูชเน็ท และได้มีการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างขึ้น 3 ฉบับ คือฉบับปี 2539 ฉบับปี
2542 และฉบับปี 2545 ตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 ข้อเท็จจริงปรากฏจากคำฟ้องและคำให้
การว่าโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2540 ภายหลังข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับ
ปี 2539 เอกสารหมาย จ. 1 มีผลใช้บังคับ และถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2546 ภายหลังข้อ
ตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับปี 2542 และฉบับปี 2545 เอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 มีผลใช้
บังคับ ซึ่งแม้จะไม่ปรากฏว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างทั้งสามฉบับซึ่งกระทำโดยนายจ้างกับ
สหภาพแรงงานแอคูชเน็ทนั้น สหภาพแรงงานแอคูชเน็ทมีลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการประเภทเดียว
กันเป็นสมาชิก หรือร่วมในการเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกินกว่าสองในสามของลูกจ้างทั้งหมด
ที่จะเป็นผลให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้น มีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างซึ่งทำงานใน
กิจการประเภทเดียวกันนั้นทุกคนรวมทั้งโจทก์ด้วยตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ก็
ตาม แต่จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างทั้งสี่ฉบับดังกล่าวในส่วนของ
การปรับค่าจ้างประจำปีผูกพันเฉพาะพนักงานทั่วไป มิใช่พนักงานระดับหัวหน้างานหรือเทียบเท่าหรือ
ระดับเจ้าหน้าที่โจทก์เป็นพนักงานระดับหัวหน้างาน จำเลยจึงไม่ผูกพันต้องจ่ายเงินจากการปรับค่าจ้าง
ประจำปีให้และจำเลยได้จ่ายเงินจากการปรับค่าจ้างประจำปีให้โจทก์สูงกว่าอัตราตามข้อตกลงเกี่ยว
กับสภาพการจ้างทั้งสี่ฉบับแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลยยอมรับว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างทั้งสี่
ฉบับนี้บังคับแก่โจทก์ด้วย เว้นแต่การที่ต้องจ่ายเงินจากปรับค่าจ้างประจำปีดังกล่าว ซึ่งตามข้อตกลง
เกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับปี 2542 เอกสารหมาย จ. 2 ข้อ 2.6 ระบุว่า “การปรับเงินประจำปีบริษัท
ตกลงปรับเงินเดือนทุกวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี โดยเริ่ม 1 มกราคม 2543 ตามเกรดดังต่อไป
นี้ เกรด A จำนวนเงิน 550 บาท เกรด B จำนวนเงิน 500 บาท เกรด C จำนวนเงิน 450 บาท” และ
ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับปี 2545 เอกสารหมาย จ. 3 ข้อ 2.5 ระบุว่า “บริษัทฯ ตกลง
ปรับค่าจ้างประจำปีในอัตราเดิม” เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับการปรับค่าจ้าง
ปี 2542 ถึงปี 2545 จำนวน 1,480 บาท 825 บาท และ 595 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราที่
ระบุไว้ในเกรดตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับปี 2542 เอกสารหมาย จ.2 ข้อ 2.6 แล้ว
โดยไม่ปรากฏว่านับแต่ปี 2542 จนถึงวันถูกเลิกจ้างโจทก์เคยเรียกร้องว่าการปรับค่าจ้างดังกล่าว
ไม่ถูกต้องแล้วขอให้จำเลยปรับค่าจ้างประจำปีตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว หรือขอ
ให้มีการตีความข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับ
ปี 2542 เอกสารหมาย จ. 2 ข้อ 3.3 จึงเป็นกรณีที่โจทก์ยอมรับการปรับค่าจ้างของจำเลย โจทก์
จึงไม่มีสิทธิได้รับการปรับค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับปี 2542 เอกสารหมาย
จ.2 อีก อุทธรณ์โจทก์ทั้งหมดฟังไม่ขึ้นเช่นกัน