คำพิพากษาฎีกาที่ 379/2551
เรื่อง ขาดงานละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 3 วันทำงาน มีใบรับรองแพทย์มาแสดง ถือว่าขาดงานโดยมีเหตุอันสมควร นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2535 โจทก์สมัครเข้าทำงานกับจำเลย
ในตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์โดยสาร ได้รับค่าจ้างเดือนละ 2,800 บาท ซึ่งต่ำกว่าอัตราค่าจ้าง
ขั้นต่ำรายวันที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กำหนด ระหว่างทำงานจำเลยเรียกเก็บเงินประกัน
การทำงานจากโจทก์จำนวน 5,000 บาท และหักเงินสะสมเดือนละ 200 บาท ตั้งแต่เริ่มทำงานจน
กระทั่งเลิกจ้างต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2538 โดยอ้างว่า โจทก์
ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2538 โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งไม่เป็น
ความจริง เนื่องจากในวันดังกล่าวโจทก์เจ็บป่วยจากอุบัติเหตุต้องพักรักษาตัว โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ดังกล่าวตามระเบียบ แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำสั่งยืนให้ไล่โจทก์
ออก จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็น
ธรรมและมิได้จ่ายค่าจ้างวันละ 132 บาท ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2538 จำเลยจึงต้องจ่ายค่า
ชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าจ้างค้างจ่าย
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2538 และเงินประกันการทำงานแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยตาม
ระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. 2534 สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ค่าจ้างค้าง
จ่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2538 และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 50,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่
โจทก์ กับให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงานจำนวน 5,000 บาท และเงินสะสมเดือนละ 200 บาท
ที่จำเลยหักไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2535 ถึงเดือนมกราคม 2538 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปี นับแต่เดือน ดังกล่าวเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ประเภทบริษัทจำกัด จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2535 ระหว่างทำงานนอกจาก
จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ประเภทเงินเดือน อัตราเดือนละ 2,800 บาทแล้ว จำเลยยังจ่ายค่าจ้าง
ประเภทเบี้ยเลี้ยงแก่โจทก์อีก ซึ่งรวมแล้วไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ต่อมา
จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 1 มีนาคม 2538 เนื่องจากโจทก์ขาดงานโดยไม่มีเหตุผลอันควรเกินกว่า
7 วันและไม่แจ้ง สาเหตุแก่ผู้บังคับบัญชาภายใน 3 วัน นับแต่หยุดงาน รวมทั้งไม่ยื่นใบลาแก่ผู้บังคับ
บัญชาอันเป็นการจงใจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยกรณีร้ายแรง แม้โจทก์จะอุทธรณ์
คำสั่งไล่ออกโดยอ้างว่าโจทก์เจ็บป่วยตามใบรับรองแพทย์ก็ตาม แต่คณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาแล้ว
เห็นว่าไม่น่าเชื่อถือ จึงวินิจฉัยให้ยืนตามคำสั่งเดิม รวมทั้งระหว่างทำงานโจทก์ขับรถด้วยความประมาท
เลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงรวม 2 ครั้ง การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิก
จ้างที่เป็นธรรม จำเลยย่อมไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ ส่วนค่า
จ้างเดือนกุมภาพันธ์ 2538 นั้น จำเลยได้จ่ายให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วและโจทก์เรียกร้องค่าจ้างจาก
จำเลยเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิได้รับจึงขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง
ดังกล่าวจากจำเลย สำหรับเงินประกันการทำงานที่จำเลยเรียกเก็บและหักเงินเดือนของโจทก์ไว้รวม
ดอกเบี้ยเป็นเงิน 9,468.30 บาทนั้น เมื่อโจทก์ก่อความเสียหายแก่จำเลย จำเลยจึงนำไปหัก
กลบหนี้ตามสัญญา ซึ่งเป็นไปตามสัญญาจ้างพนักงานข้อ 6 และข้อ 8 จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินนี้
แก่โจทก์ นอกจากนี้คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากคำขอท้ายฟ้องมิได้คำนวณเป็นเงินที่
แน่นอนว่าโจทก์เรียกร้องค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นจำนวนเท่าใด
ทั้งดอกเบี้ยที่เรียกร้องก็มิได้กำหนดต้นเงินทุกประเภทว่ามีจำนวนเท่าใด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงขอสละประเด็นเรื่องค่าจ้างเดือนกุมภาพันธ์ 2538 จำเลยจึง
แถลงขอสละประเด็นในเรื่องอายุความดังกล่าวเช่นกัน และแถลงรับว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ขอสละประเด็นในเรื่องนี้
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ขาดงานระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 12
มีนาคม 2538 จริง แต่เนื่องจากป่วยเพราะมีใบรับรองแพทย์มาแสดง จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่
โดยมีเหตุอันควร จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะสาเหตุเดียวคือ โจทก์ละทิ้งหน้าที่ติดต่อกันเกิน 7 วัน
โดยไม่มีเหตุอันควรอันเป็นการผิดวินัยตามระเบียบพนักงานเอกสารหมาย จ.ล.2 ข้อ 39 (6) ส่วนเรื่อง
ที่โจทก์ขับรถเกิดอุบัติเหตุทำให้จำเลยเสียหายเหตุเกิดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2536 ก่อนเลิกจ้างใน
วันที่ 5 กรกฎาคม 2538 เป็นเวลา 2 ปี แสดงว่าจำเลยมิได้ให้ความสำคัญกับการนำเหตุดังกล่าวมา
เป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ การขาดงานของโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทำผิดเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยต้องจ่าย
ค่าชดเชยแก่โจทก์โดยคำนวณจากเงินเดือน 2,800 บาท กับค่าจ้างตามผลงานเก้าสิบวันก่อนเลิกจ้าง
9,600 บาท เป็นเงินค่าชดเชย 18,000 บาท ร ะหว่างโจทก์ทำงานก่อความเสียหายหลายครั้ง จึงเป็น
การกระทำที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วง จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ส่วนเงินประกันเป็นการริบตามสัญญาจ้างมิได้นำ
ไปหักชำระหนี้ความเสียหาย จึงถือว่าเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลเห็นว่าจำเลยฟ้องโจทก์ให้ชดใช้ค่าเสีย
หายแล้วถ้าจะให้โจทก์รับผิดอีกจึงไม่เป็นธรรม จึงให้คืนเงินประกัน แล้วพิพากษาให้จำเลยจ่าย
ค่าชดเชย 18,000 บาท และคืนเงินประกันการทำงานจำนวน 9,468.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินค่าชดเชยและต้นเงินประกันการทำงาน (8,800 บาท ) นับแต่วันที 1
มีนาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ ข้อ 2.1 ประการ
แรกว่า ศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัยไม่เป็นไปตามประเด็นข้อพิพาท ข้อ 1 โดยวินิจฉัยผิดไป
จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและเป็นการวินิจฉัยไม่ครบตามประเด็นข้อพิพาท โดยจำเลย
อ้างว่า นอกจากโจทก์จะละทิ้งหน้าที่ในวันที่ 1 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2538 แล้ว โจทก์ยังละทิ้งหน้าที่
นับแต่วันที่ 13 มีนาคม 2538 จนถึงวันที่จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงาน คือ วันที่ 5 กรกฎาคม
2538 รวมเป็นเวลา 4 เดือน 4 วัน เรื่อยมาโดยไม่มีเหตุอันสมควรอีก อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว
จึงเป็นการอุทธรณ์ในเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากคำฟ้อง และคำให้การ และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมา
แล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา
31 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้
จำเลยอุทธรณ์ข้อต่อไปตามข้อ 2.2 ว่า การที่โจทก์หยุดงานไปตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 12
มีนาคม 2538 โดยไม่แจ้งผู้บังคับบัญชาภายใน 3 วัน นับแต่วันหยุดงานและมิได้ยื่นใบลาและใบ
รับรองแพทย์ ซึ่งแม้โจทก์จะมีใบรับรองแพทย์มายืนยันในภายหลังในชั้นอุทธรณ์ การกระทำของ
โจทก์ก็เป็นการหยุดงานไปโดยฝ่าฝืนต่อระเบียบการลาของจำเลยซึ่งถือเป็นความผิดวินัย โจทก์เป็น
พนักงานของจำเลยกว่า 3 ปี ย่อมทราบถึงกฎระเบียบของจำเลยเป็นอย่างดี การที่โจทก์หยุดงาน
ดังกล่าวเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานติดต่อในคราวเดียวกันเกินกว่า 7 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
และมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับของจำเลย ซึ่งถือ
เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามระเบียบพนักงานจำเลย พ.ศ. 2532 ข้อ 36 (6) เห็นว่าอุทธรณ์
ของจำเลยยังยืนยันว่าที่โจทก์หยุดงานไปดังกล่าวเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานติดต่อกันในคราวเดียว
เกินกว่า 7 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ตามระเบียบ ข้อ 39 (6) เหมือนเดิม เท่ากับเป็นการอุทธรณ์
โต้แย้งว่า โจทก์หยุดงานไปดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่มีเหตุผลสมควรเป็นการโต้แย้งดุลพินิจใน
การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราช
บัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับ
วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้เช่นกัน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อ 2.3 ของจำเลยว่า จำเลยสามารถยกเหตุเลิกจ้างนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างมาต่อสู้ในชั้นพิจารณาของศาลได้หรือไม่ เห็นว่าตามคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ เอกสารหมาย จ.ล. 7 จำเลยลงโทษไล่โจทก์ออกจากบริษัทจำเลย ฐานละทิ้งหน้าที่การงานติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 7 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบพนักงานของจำเลยข้อ 39 (6) ส่วนการกระทำของโจทก์ที่ขับรถของจำเลย
คันหมายเลขทะเบียน 11 – 7395 กรุงเทพฯ หมายเลขข้างรถ 99 – 803 (กรุงเทพ – สมุทรสงคราม)
ไปเกิดอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2536 นั้น จำเลยกล่าวอ้างไว้ในคำสั่งไล่โจทก์ออกแต่ไม่ได้
นำมาเป็นเหตุลงโทษโจทก์ จำเลยได้ปล่อยให้โจทก์ทำงานต่อมาอีกเป็นเวลานานถึง 1 ปีเศษ โดยไม่
ลงโทษโจทก์ ส่วนความเสียหายทางแพ่งนั้นให้กองบัญชีลูกหนี้ไว้และให้กองกฎหมายดำเนินการเรียก
เงินชดใช้ต่อไป ถือได้ว่าจำเลยไม่ติดใจที่จะลงโทษโจทก์ในกรณีนี้อีก จำเลยจึงไม่อาจยกเอาเหตุนี้
ขึ้นมาลงโทษโจทก์ได้อีก ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟัง
ไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสุดท้ายว่า จำเลยมีสิทธิเงินประกันของ
โจทก์หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าโจทก์มิได้กระทำผิดฐานละทิ้งหน้าที่การงานติดต่อในคราว
เดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 7 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามระเบียบ
พนักงานของจำเลยข้อ 39 (6) ที่จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงานจึงไม่ชอบ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิ
รับเงินประกันของโจทก์ ตามสัญญาจ้างพนักงานขับรถ เอกสาร ข้อ 6.3 ที่ศาลแรงงานกลางไม่ริบเงิน
ประกันของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิริบเงินประกันของโจทก์จำเลยจึงมี
หน้าที่ต้องคืนเงินประกันพร้อมดอกเบี้ยถ้ามีให้แก่โจทก์ทันทีนับแต่วันเลิกจ้าง เมื่อจำเลยไม่คืนให้ย่อม
ต้องถือว่าผิดนัดนับแต่วันที่เลิกจ้างโดยมิพักต้องเรียกร้องหรือทวงถามแต่ประการใดอีก เงินประกันที่
จำเลยต้องคืนจึงเป็นหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงต้อง
เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่เลิกจ้างเป็นต้นไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามา
นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น