คำพิพากษาฎีกาที่ 1192/2551
เรื่อง ตกลงกันด้วยวาจา ให้ลูกจ้างลาออกเอง จะจ่ายเงินค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย ภายหลังลาออก นายจ้างไม่จ่ายตามที่ตกลง
ถือว่าลูกจ้าง ลาออกเองโดยสมัครใจ ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2537 จำเลยรับโจทก์เข้าเป็นลูกจ้าง โจทก์ทำงานตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชี ได้รับค่าจ้างเดือนละ 21,600 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างเดือนละสองครั้งทุก 15 วัน ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2546 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วัน เป็นเงิน 21,600 บาท ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน เป็นเงิน 172,800 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเท่ากับค่าจ้าง 6 เดือน เป็นเงิน 129,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 324,000 บาท นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยทำงานกับจำเลยตามฟ้องจริง แต่โจทก์ได้เขียนใบลาออกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2546 โดยให้มีผลในวันที่ 31 มกราคม 2546 การลาออกของโจทก์เป็นการลาออกด้วยความสมัครใจ ไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญหรือให้คำมั่นและโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เคยทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ต่อมาโจทก์ได้ลาออกโดยเขียนใบลาออกลงวันที่ 2 มกราคม 2546 ด้วยตนเองและเขียนข้อความในใบลาออกเองตามลำพังว่า “ยกเว้นสิทธิค่าชดเชยตามกฎหมาย 8 เดือน ที่ยังไม่ได้รับตามที่ได้ตกลงกับทางบริษัทไว้” โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยยอมรับรู้และร่วมผูกพันด้วย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์เบิกความรับว่าโจทก์เป็นผู้เขียนใบลาออกด้วยตนเองแล้วโจทก์มิได้กลับเข้าทำงานอีกตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2546 จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์เป็นฝ่ายบอกเลิกนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างลูกจ้างแก่จำเลยเอง การลาออกเป็นการกระทำของโจทก์มิได้เป็นการกระทำของจำเลยที่เป็นนายจ้าง โจทก์อุทธรณ์โดยสรุปได้ว่าข้อความในใบลาออกมีข้อความว่า “ยกเว้นสิทธิค่าชดเชยตามกฎหมาย 8 เดือน ที่ยังไม่ได้รับตามที่ได้ตกลงกับทางบริษัทไว้” เป็นข้อความที่เขียนโดยโจทก์ แต่ยังมีข้อความต่อไปว่า “มีค่าชดเชยที่ยังไม่ได้จ่าย 8 เดือน” ซึ่งเขียนโดยผู้จัดการทั่วไปของจำเลย เป็นข้อความเช่นเดียวกับที่ปรากฏในใบลาออกของนายชูศักดิ์ สิริพัฒนบุตร แต่นายชูศักดิ์ได้รับค่าชดเชย โจทก์กลับไม่ได้รับ จากข้อความดังกล่าวแสดงว่าต้องมีข้อตกลงเกี่ยวกับค่าชดเชย จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ลาออกด้วยความสมัครใจ แต่เป็นการลาออกจากงานด้วยการถูกบีบบังคับจากจำเลย ใบลาออกดังกล่าวจึงเป็นการทำขึ้นโดยไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าเสียหายอื่นนั้น เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อให้ศาลฎีการับฟังว่าโจทก์ถูกบีบบังคับให้ลาออก การลาออกมิใช่การกระทำของโจทก์แต่เป็นการกระทำของจำเลยที่เป็นนายจ้าง อันเป็นการได้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่รับฟังว่าโจทก์มีความประสงค์เป็นฝ่ายบอกเลิกนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างลูกจ้างและการลาออกเป็นการกระทำของโจทก์มิได้เป็นการกระทำของจำเลยที่เป็นนายจ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์