เซฟค่าใช้จ่ายออฟฟิศด้วยเทคนิคกรีน ๆ กันดีกว่า
ในยามที่เศรษฐกิจเป็นพิษ สุ่มเสี่ยงต่อการอยู่รอดขององค์กรอย่างทุกวันนี้ การช่วยกันรัดเข็มขัดขจัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อประหยัดงบของบริษัท น่าจะดีกว่าการที่บริษัทคิดตัดงบจากการจ้างมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ และไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถือโอกาสนี้เปลี่ยนออฟฟิศให้ดำเนินการบนแนวทางสีเขียวไปซะเลย กับ 6 วิธีการเซฟค่าใช้จ่ายออฟฟิศแบบกรีน ๆ
1. ทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นนิสัย
วิธีการนี้ดูออกจะพื้น ๆ บ้าน ๆ แต่นับได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีในการก้าวเข้าสู่เส้นทางออฟฟิศสีเขียวร่วมกัน คิดง่าย ๆ ว่าออฟฟิศก็เหมือนบ้านของเรา อยู่บ้านเราประหยัดพลังงานยังไง(อาจจะมีแรงจูงใจเรื่องตัวเลขในบิลค่าไฟมาเกี่ยวข้อง) อยู่ออฟฟิศเราก็ทำแบบนั้นแหละ ปิดไฟเมื่อเลิกงาน หรือเวลาที่ออกไปข้างนอกพร้อม ๆ กัน เช่น ตอนพักเที่ยง ปรับอุณหภูมิแอร์ที่ 25 องศาเซลเซียส ตั้งโหมดประหยัดพลังงานบนคอมพิวเตอร์และเครื่องปริ๊นท์ให้เร็วขึ้นเมื่อเปิดเครื่องทิ้งไว้แต่ไม่ได้ใช้งาน หรือปิดไปเลยในช่วงกินข้าวกลางวัน ช่วงที่ต้องเข้าประชุมแบบมาราธอน เรื่องง่าย ๆ แบบนี้แหละที่จะทำให้เจ้านายของคุณตื้นตั้นใจจนหน้าบานเลยทีเดียวเมื่อเห็นตัวเลขที่ลดลงในบิลค่าไฟ
2. ปริ๊นท์ให้น้อยลง
ลด ละ เลิก การปริ๊นท์ทุกอย่างที่ขวางหน้า อาจจะติดตั้ง โปรแกรมปริ๊นท์ ที่ช่วยให้เราจัดการปริ๊นท์เฉพาะสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ชักชวนให้เพื่อนร่วมงานปริ๊นท์เฉพาะเอกสารที่จำเป็นจริง ๆ หรือหากอยากได้ข้อมูลบนหน้าเว็บเพจลองเปลี่ยนมาเซฟในรูปแบบของไฟล์ PDF เอาไว้อ่านในเครื่องแทน ค่ากระดาษรีมหนึ่ง ๆ ก็เกือบร้อยบาท ไหนจะค่าหมึกพิมพ์ ค่าไฟอีก หากเราช่วยกันปริ๊นท์เท่าที่จำเป็น ก็จะช่วยประหยัดเงินได้ไม่น้อย แถมยังมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีก
3. ใช้ร่วมกันก็ได้นะ
หาพื้นที่เล็ก ๆ สักที่สำหรับเก็บอุปกรณ์สำนักงานที่สามารถใช้ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องเจาะรูกระดาษ ที่เย็บกระดาษ กรรไกร ซองจดหมาย หรือแฟ้มต่าง ๆ เมื่อใช้เสร็จแล้วก็นำกลับมาไว้ที่เดิม ถ้าจะสั่งซื้ออุปกรณ์ใหม่ก็ขอให้แน่ใจว่าเราจำเป็นต้องใช้งานมันจริง ๆ
4. อัพของเก่าให้เป็นของใหม่
เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ก็ขยันคลอดมายั่วกิเลสเราซะเหลือเกิน ยิ่งถ้าได้เห็นใครถอยมาใช้แล้ว แทบจะต้านทานแรงดึงดูดไม่ไหว แต่อย่าลืมว่าปัจจุบันนี้จำนวนขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาขยะล้นโลกไปแล้ว ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในฝันชิ้นใหม่ ลองหันกลับมาดูก่อนดีกว่ามั้ยว่าจริง ๆ แล้วโปรแกรมใดหรือสเปกเลอเลิศขนาดไหนที่จำเป็นต่อการทำงานของเรา อะไรที่สามารถอัพเกรดได้ก็อัพไปก่อนดีกว่า แม้จะเป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าทุกคนคิดแต่จะเปลี่ยนใหม่ ๆ นอกจากจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายที่อาจจะยังไม่จำเป็นต้องเสียแล้ว ยังเป็นตัวการสั่งสมขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เพิ่มขึ้นไปอีก
5. ใช้ประโยชน์จากพลังงานสะอาด
ถ้าออฟฟิศเรากำลังจะมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือซ่อมแซมอะไรใหม่ นั่นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีสีเขียวครั้งใหญ่ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา เพื่อนำพลังงานสะอาดอย่างแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ หรือเปลี่ยนหลังคาเป็นแบบใส ๆ มีหน้าต่างเยอะ ๆ ให้แสงธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาได้ วิธีนี้จะสามารถเซฟค่าไฟได้ในระยะยาวเลยทีเดียว หรือหากมีการตกแต่งภายในใหม่ ลองเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลดูสิ
6.ทำงานที่บ้าน
อีกวิธีหนึ่งที่นอกจากจะกรีนแล้วยังช่วยลดรายจ่ายของออฟฟิศเราได้ไม่น้อยก็คือการทำงานอยู่กับบ้าน เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายสำนักงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ถ้าจำเป็นต้องติดต่อกันเรื่องงานก็ใช้อีเมล หรือโทรศัพท์ยกหูคุยกัน หรือจะประชุมกันผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ก็ยังได้ หากสามารถวางแผนให้ปิดออฟฟิศได้หนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ ก็จะช่วยประหยัดได้มากเลยทีเดียว เช่นอาจจะเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานในวันจันทร์-พฤหัสฯ เป็นวันละ 10 ชั่วโมง ส่วนวันศุกร์ก็ปิดออฟฟิศแยกย้ายกันไปทำงานที่บ้าน เราเองก็ไม่ต้องเสียค่าเดินทาง นั่งทำงานแบบกรีน ๆ อยู่ที่บ้านแทน
แม้จะเป็นวิธีเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าเราร่วมด้วยช่วยกัน นอกจากจะเซฟค่าใช้จ่ายของออฟฟิศแล้ว ยังช่วยเซฟโลกใบนี้ได้ด้วยนะ
ลดอุณหภูมิโลก ลดการบริโภค
ลองสมมติว่าตัวคุณเป็นกบ กบที่กำลังลอยอยู่ในหม้อน้ำที่กำลังตั้งไฟ หากน้ำในหม้อนั้นกำลังเดือด คุณก็คงพยายามกระโดดให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาทางหนีออกจากหม้อใบนี้ ในทางตรงกันข้าม หากมันเป็นเพียงแค่น้ำอุ่นที่ตั้งไฟอ่อนๆ คุณคงรู้สึกสบาย อ้า...ช่างน่ารื่นรมย์อะไรเช่นนี้ คุณคิด
ด้วยความเป็นกบที่อยู่ในหม้อน้ำ และกำลังสบายอกสบายใจกับการนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่น ขณะที่เตาไฟกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ คุณจึงไม่รู้ตัวกำลังจะตาย จึงไม่พยายามหาทางหนีแม้แต่น้อย ที่สุดแล้ว กบน้อยก็นอนหลับในหม้อน้ำแห่งนั้นไปชั่วนิรันดร์
โลกเราก็เปรียบเหมือนกับหม้อน้ำที่กำลังตั้งไฟอยู่อ่อนๆ และกำลังทวีความร้อนขึ้นอย่างช้าๆ แน่นอน เจ้ากบตัวนั้นก็คือคุณนั่นแหละ มนุษย์ที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว
ถึงเวลานี้ คงไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า ไม่รู้จักปรากฏการณ์สำคัญของโลกที่เรียกว่า ภาวะโลกร้อน (Global warming)
ปีที่ผ่านมา ภาคเหนือและภาคอีสานต้องเผชิญกับอากาศหนาวจัดกว่าหลายปีที่ผ่านมา
ขณะที่ภาคกลางประสบกับปัญหาน้ำท่วมหนักอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนภาคใต้ก็เจอกับพายุที่รุนแรงขึ้น ปัญหาทะเลกัดเซาะชายฝั่งเข้ามาลึกมากขึ้น คงไม่ต้องย้ำกันอีกรอบ ตามที่วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์แห่งนิตยสารคดี บอกว่า ภาวะโลกร้อนได้มาเคาะประตูบ้านของเราแล้ว...
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (IPCC) ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์กว่า ๒,๕๐๐ คน จาก ๑๓๐ ประเทศ ได้พบข้อสรุปอย่างชัดเจนแล้วว่า สาเหตุของปัญหาโลกร้อนนั้น ร้อยละ ๙๐ มาจากการที่มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากเกินไป จนความร้อนจากพื้นโลกไม่สามารถสะท้อนออกนอกโลกได้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศอย่างรุนแรงไปทั่วโลก
ดังนั้นภารกิจที่เหล่ามนุษยชาติต้องรับผิดชอบร่วมกันก็คือ ลดการเผาผลาญเชื้อเพลิงและปล่อยก๊าซคารบอร์ไดออกไซด์ลงให้มากที่สุด เพื่อต่อเวลาให้กับโลกใบนี้ให้ยาวยิ่งขึ้น
ฟังดูอาจสงสัยว่าเราที่เป็นมนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งจะไปทำอะไรได้ แต่ช้าก่อน ! คนตัวเล็ก ๆอย่างพวกเรานี่ล่ะ ที่เขย่าโลกจนสะเทือนมานักต่อนักแล้วและพวกเขาล้วนแต่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยและสะสมพลังไว้จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ คุณเองก็ทำได้เช่นกัน