อาการแบบใดเรียก ว่า กำลังอยู่ในภาวะช็อค !
ช็อกจัดเป็นภาวะอันตรายในทางการแพทย์ และยังแบ่งออกได้หลายประเภทตามสาเหตุ
เช่น ภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic Shock)
ภาวะช็อกจากปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างฉับพลัน (Anaphylactic Shock)
ภาวะช็อกจากโรคหัวใจ (Cardiogenic Shock)
ภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (Hypovolemic Shock)
ภาวะช็อกจากระบบประสาท (Neurogenic Shock)
ช็อกเป็นภาวะอันตรายที่ควรไปพบแพทย์ทันที ผู้ที่เกิดภาวะนี้ความดันโลหิตจะลดต่ำลงอย่างรุนแรง และอาจพบอาการได้หลายลักษณะ
อาการเมื่ออยู่ในภาวะช็อค
1.ชีพจรเต้นเร็วแต่เบา หรือบางรายอาจไม่เต้น
2.หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
3.หายใจตื้นและเร็ว
4.วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด
5.ตัวซีดและเย็น
6.ตาค้าง ตาเหลือก
7.เจ็บแน่นหน้าอก
8.คลื่นไส้
9.รู้สึกสับสน วิตกกังวล
10.ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีปัสสาวะ
11.กระหายน้ำและปากแห้ง
12.ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
13.ความรู้สึกตัวลดลงหรือหมดสติ
14.เหงื่อออกมาก
15.นิ้วและปากบวม
7 วิธีช่วยเหลือผู้ที่มีอาการช็อค
1. ควรโทรเรียกรถพยาบาล เพื่อขอความช่วยเหลือจากแพทย์ทันที
2. ดูอาการผู้ป่วยว่ามีความผิดปกติของระบบการหายใจเกิดขึ้นหรือไม่ หากผู้ป่วยหายใจแผ่วเบา หรือไม่หายใจ ให้เริ่มต้นการช่วยหายใจด้วยการทำ CPR (Cardiopulmonary resuscitation) ทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยทุกๆ 5 นาทีเพื่อตรวจสอบอัตราการหายใจ
3. อย่าทำการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเด็ดขาด เพราะอาจกระทบกับอวัยวะ เช่น ศีรษะ คอ หรือกระดูกสันหลัง
4. ยกขาผู้ป่วยขึ้นประมาณ 12 นิ้ว แต่อย่ายกระดับหัวปล่อยผู้ป่วยให้นอนราบไปกับพื้น
5. คลายเสื้อผ้าที่แน่นออก เพื่อให้หายใจสะดวก
6. หากผู้ป่วยเกิดอาเจียนออกมา จับหันศีรษะหันไปข้างหนึ่งเพื่อป้องกันการสำลัก ยกเว้นในรายที่บาดเจ็บบริเวณคอหรือศีรษะ ให้พลิกทั้งตัวหันข้างแทน
7.ห้ามให้ผู้ป่วยรับประทานอะไรทั้งสิ้น
การป้องกันภาวะช็อก
1.ลดความเสี่ยงที่จะทำให้ตัวเองบาดเจ็บจนต้องสูญเสียเลือด เช่น สวมเครื่องป้องกันระหว่างเล่นกีฬาบางชนิด ระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ที่อาจเป็นอันตราย สวมเข็มขัดหรือหมวกนิรภัยระหว่างการขับขี่
2.ผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ หรือพกยาประจำตัว เช่น อีไพเนฟรีน Epinephrine) เพื่อช่วยบรรเทาอาการ
3.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และสูดควันบุหรี่
4.หากมีไข้หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากบรรเทาอาการที่บ้าน ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างเหมาะสม
5.ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนหรือชื้น ควรเพิ่มการดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
6.หากมีอาการถ่ายเหลวหรืออาเจียน ควรรับประทานน้ำเกลือแร่ชดเชยให้เพียงพอ แต่ในกรณีที่รับประทานไม่ได้ควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ
7.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน ถูกหลักโภชนาการ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ
ข้อมูลดีดี : โรงพยาบาล ,สุขภาพ