คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๒๘/๕๘
ศาลแรงงานกลางมีอำนาจสั่งรับพยานเอกสารได้ แม้ไม่ได้ส่งสำเนาให้คู่ความอีกฝ่ายก็ตาม
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ตำแหน่งพนักงานเร่งรัดหนี้สินและบังคับคดี จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ไม่จำกัดจำนวน ระหว่างทำงานโจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการบังคับคดีต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ ๑ รับเงินจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์แล้วไม่ส่งมอบเงินแก่โจทก์ ๓๒๔,๘๒๗ บาท และดำเนินการถอนการบังคับคดีโดยโจทก์ไม่ยินยอมทำให้สิ้นสิทธิการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์๓๓,๖๙๔.๖๒ บาท รวมเป็นหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น ๓๕๘,๕๒๑.๖๒ บาท โจทก์ทวงถามให้ชำระแต่จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย และลาออกจากงาน จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๕๘,๕๒๑.๖๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างมาไม่แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าใดเนื่องจากในคดีอาญายังไม่มีคำพิพากษาว่าจำเลยยักยอกเงินของโจทก์เป็นจำนวนเท่าใด ทั้งโจทก์มีหลักฐานการรับชำระเงินของจำเลยที่ ๑ เพียงบางส่วนเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น นอกนั้นไม่มีหลักฐาน การบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกันนั้นย่อมมีการต่อรองและลดหนี้เพื่อจูงใจให้มีการชำระหนี้แก่โจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีได้เต็มจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๓๐,๖๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานเร่งรัดหนี้สินและบังคับคดี มีหน้าที่รับเงินชำระหนี้จากลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งมอบแก่โจทก์โดยไม่ชักช้า จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมไม่จำกัดจำนวน จำเลยที่ ๑ รับเงินจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ ๓๒๔,๘๒๗ บาท แล้วไม่นำส่งโจทก์ตามหน้าที่และจำเลยที่ ๑ ดำเนินการถอนการบังคับคดีต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเหตุให้โจทก์สิ้นสิทธิบังคับเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอีกจำนวน ๕,๘๖๙ บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น ๓๓๐,๖๙๖ บาท แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจ้างแรงงานและเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ๓๓๐,๖๙๖ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมไม่จำกัดจำนวน จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ว่า โจทก์ส่งเอกสารหมาย จ.๕ แผ่นที่ ๒ ถึงที่ ๑๐ หมาย จ.๗ แผ่นที่ ๒ และที่ ๓ หมาย จ.๘ แผ่นที่ ๒ ถึงที่ ๔ หมาย จ.๙ แผ่นที่ ๖ ถึงที่ ๙ หมาย จ.๑๐ แผ่นที่ ๓ ถึงที่ ๕ หมาย จ.๑๓ จ.๑๕ และ จ.๑๗ ต่อศาลแรงงานกลางเพื่อยืนยันว่าบุคคลภายนอกชำระเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยไม่ยื่นสำเนาเอกสารต่อศาลและไม่ส่งสำเนาให้คู่ความอีกฝ่ายก่อนวันสืบพยานทั้งไม่นำพยานบุคคลที่ทำเอกสารมาเบิกความถือเป็นการรับฟังสำเนาเอกสารที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๒ คัดค้านการอ้างส่งเอกสารว่าเป็นเพียงสำเนาที่บุคคลภายนอกทำขึ้นโดยไม่ได้รับรองสำเนาจากหน่วยงานราชการหรือผู้ครอบครองต้นฉบับและบุคคลภายนอกไม่ได้มาเบิกความ ที่ศาลแรงงานกลางสั่งรับและรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า โจทก์ส่งเอกสารหมาย จ.๕ แผ่นที่ ๒ ถึงที่ ๑๐ หมาย จ.๗ แผ่นที่ ๒ และที่ ๓ หมาย จ.๘ แผ่นที่ ๒ ถึงที่ ๔ หมาย จ.๙ แผ่นที่ ๖ ถึงที่ ๙ หมาย จ.๑๐ แผ่นที่ ๓ ถึงที่ ๕ หมาย จ.๑๓ จ.๑๕ และ จ.๑๗ ซึ่งเป็นเอกสารที่ระบุว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑ ในฐานะที่เป็นผู้แทนโจทก์ และจำเลยที่ ๑ ดำเนินการถอนการบังคับคดีให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพาก ษาของโจทก์ อันเป็นการนำส่งเอกสารสำคัญแห่งคดีเพื่อใช้ประกอบคำเบิกความของนายศิริชัย วิชาชาญชัย พยานโจทก์ซึ่งทำงานตำแหน่งผู้จัดการแผนกบังคับคดีและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ และนายธารา โชติวรรณ พยานโจทก์ซึ่งทำงานตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกบังคับคดีเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์แล้วไม่นำส่งเงินแก่โจทก์ และจำเลยที่ ๑ ดำเนินการถอนการบังคับคดีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งที่ยังมีหนี้ตามคำพิพากษาที่ลูกหนี้ต้องชำระแก่โจทก์ แม้เป็นการส่งสำเนาเอกสารโดยโจทก์ไม่ยื่นสำเนาต่อศาลและไม่ส่งสำเนาให้จำเลยทั้งสองก่อนวันสืบพยานก็ตาม แต่เมื่อศาลแรงงานกลางเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเอกสารดังกล่าวซึ่งสำคัญและเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ย่อมสั่งรับและรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง การสั่งรับและรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางจึงชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด