คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๘๐๐/๕๗
คดีแรงงานเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้คดีอาญายกฟ้อง แต่พฤติกรรมการกระทำผิด เป็นเหตุให้นายจ้างไม่อาจไว้วางใจในการทำงานได้ ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งพนักงานช่าง สังกัดแผนกขึ้นรูป ๑ เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๐,๔๔๗ บาท เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่ากระทำความผิดอาญาโจรกรรมทรัพย์สินของจำเลยจึงไม่จ่ายค่าชดเชย ซึ่งไม่เป็นความจริงเนื่องจากโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ภายหลังโจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง ศาลจังหวัดสระบุรีมีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุด จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ทำงานติดต่อกันครบ ๑๐ ปีขึ้นไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๓๐๐ วัน และค่าชดเชยพิเศษกรณีปรับ ปรุงหน่วยงานโดยการนำเครื่องจักรมาใช้หรือการเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรมาแทนแรงงานเป็นเงินเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๒๕๕ วัน และค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๖๐ วัน รวมเป็นค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับทั้งสิ้นเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๖๑๕ วัน คิดเป็นเงิน ๑๕๒,๖๖๑.๔๕ บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ขาดอีก ๔๐,๐๐๐ บาท การที่โจทก์ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้กระทำความผิดจึงถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยขอเรียกค่าเสียหาย ๒,๑๒๘,๒๗๖ บาท และขณะที่ต่อสู้คดีอาญาทำให้โจทก์เกิดความเครียดเส้นเลือดในสมองแตกจึงขอเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้อีก ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๒๐,๙๓๗.๔๕ บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๕๒,๖๖๑.๔๕ บาท และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑,๑๒๘,๒๗๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง และค่าเสียหายจากการทำละเมิดอีก ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์กับพวกร่วมกันลักเอาเศษผ้าทำความสะอาดทองบนเฟรมสกรีนของจำเลยซึ่งมีมูลค่า ๒๒๐,๐๐๐ บาท ออกไปจากห้องเก็บของ การกระทำดังกล่าวเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือเป็นการกระทำความผิดอาญาต่อนายจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ กรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานด้วย ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ก่อนมีหนังสือเลิกจ้างนั้น จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนซึ่งผลการสอบสวนพบว่ามีประจักษ์พยานฟังว่าโจทก์กับพวกร่วมกันลักทรัพย์ของจำเลย จำเลยไม่ได้ปรับปรุงหน่วยงานโดยการนำเครื่องจักรมาใช้ หรือโดยการเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้โจทก์เนื่องจากมีนิติบุคคลอื่นทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์ให้แก่พนักงาน จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ การป่วยอาจเกิดจากปัจจัยอื่น จึงไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินในส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค ๑ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๐๔,๔๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๐๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งพนักงานช่าง สังกัดแผนกขึ้นรูป ๑ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๐,๔๔๗ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน มีเหตุคนร้ายลักเศษผ้าเช็คทำความสะอาดทองบนเฟรมสกรีนในบริเวณโรงงานของจำเลย ต่อมาโจทก์กับพวกอีก ๒ คน ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันลักทรัพย์ของจำเลย วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่าโจทก์ลักขโมยเศษผ้าทำความสะอาดทองบนเฟรมสกรีนของจำเลย ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงที่เลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชย ต่อมาโจทก์กับพวกอีก ๒ คน ถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาลักทรัพย์ที่ศาลจังหวัดสระบุรี ศาลจังหวัดสระบุรีพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งคือโจทก์คดีนี้ แต่พิพากษาจำคุกพวกอีก ๒ คน คดีอาญาที่ศาลจังหวัดสระบุรีพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น พนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์ไม่อุทธรณ์ ส่วนพวกอีก ๒ คน ที่ถูกศาลจังหวัดสระบุรีพิพากษาลงโทษยื่นอุทธรณ์ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้อง คดีอาญาถึงที่สุด แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีประจักษ์พยานเห็นโจทก์กระทำผิด โจทก์มิได้ลักทรัพย์จำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชย และเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์
ที่จำเลยอุทธรณ์ในทำนองว่า จำเลยมีนายพงษ์พันธ์ โสภา กับนายอำนาจ วงศ์นาค เป็นประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องกันว่าพยานเห็นโจทก์ซึ่งอยู่บริเวณที่เกิดเหตุลักทรัพย์ร่วมกับนายทวี ลาดบาง และนายพรชัย บุญแจ้ง มาด้วยกันและกลับพร้อมกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติว่าโจทก์ร่วมกับนายทวีและนายพรชัยกระทำความผิดลักทรัพย์จำเลยอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง เห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลแรงงานภาค ๑ ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยไม่มีประจักษ์พยานเห็นโจทก์กระทำผิด โจทก์มิได้ลักทรัพย์จำเลย อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค ๑ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า ในการพิจารณาว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเหตุในการเลิกจ้างของนายจ้างว่านายจ้างมีเหตุอันสมควรเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ เมื่อคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ ๓ ข้อหาลักทรัพย์นายจ้างต่อศาลจังหวัดสระบุรี ศาลจังหวัดสระบุรีฟังข้อเท็จจริงยุติว่าคืนเกิดเหตุเป็นเวลาทำงานของโจทก์แต่กลับมีผู้พบเห็นโจทก์เดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับลูกจ้างคนอื่นที่ถูกกล่าวอ้างว่าเกี่ยวพันกับการลักทรัพย์ แม้จะวินิจฉัยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้โจทก์และพนักงานอัยการไม่อุทธรณ์ซึ่งทำให้คดีในส่วนของจำเลยที่ ๓ ยุติตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดสระบุรีดังที่ระบุในคำพิพาก ษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ก็ตาม แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ให้สงสัยถึงความเกี่ยวพันในการลักทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการสอบสวนของจำเลยที่ว่าโจทก์ทำงานอยู่ต่างสถานที่แต่ทำทีไปสอบถามคนอื่นและไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนกพิมพ์รูปลอก ประกอบกับจำเลยมีนายพงษ์พันธ์ โสภา พนักงานของจำเลยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยและได้ไปเบิกความในคดีอาญาว่าพบเห็นโจทก์อยู่ด้วยกับลูก จ้างคนอื่นที่ถูกกล่าวหาว่าลักทรัพย์ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ กรณีมีเหตุอันสมควรที่จะทำให้จำเลยไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานกับจำเลยอีกต่อไป การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๑.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด