กม.แรงงานที่ไปไม่ถึง..'การคุ้มครอง'
เมื่อเร็วๆ นี้ เครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ ร่วมกับมูลนิธิไอเจเอ็ม เปิดเวทีอภิปรายเรื่อง "จับตาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและขจัดการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ทิศทางและระดับการคุ้มครองแรงงานในประเทศไทย" ทั้งนี้ น.ส.ณิชกานต์ อุสายพันธ์ นักกฎหมายด้านการคุ้มครองแรงงานและค้ามนุษย์ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ได้เสนอมุมมองถึงร่างกฎหมายดังกล่าวโดยระบุว่า ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองบุคคลจากการถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกบังคับใช้แรงงานที่สำคัญอยู่แล้ว 2 ฉบับ คือ 1.พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
แต่ยังมีเนื้อหาที่ไม่ครอบคลุมถึงการคุ้มครองบุคคลจากการบังคับใช้แรงงานทุกรูปแบบ เพราะกฎหมายฉบับนี้กำหนดบังคับใช้เฉพาะสำหรับนายจ้าง และลูกจ้างตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งถ้าดูเจตนารมณ์ของพิธีสาร ค.ศ.2012 ต้องการคุ้มครองแรงงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานนอกระบบหรือในระบบ
2.พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้า มนุษย์ ที่มีบทบัญญัติพูดถึงการใช้แรงงานบังคับ ก็ยังมีช่องโหว่อยู่ เพราะการที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้คุ้มครองได้จะต้องมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบการค้ามนุษย์ เช่น มีการนำพา มีการหลอกลวง ดังนั้นหากบุคคลที่ถูกบังคับใช้แรงงาน แต่ไม่ได้ถูกนำพามา หรือไม่ได้ถูกหลอกลวงเข้ามาในประเทศก็ไม่ใช่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ดังนั้นการคุ้มครองผู้เสียหายก็จะไม่เกิดขึ้น
นักกฎหมายผู้นี้ระบุว่า ในการทำงานพบกรณีแรงงานถูกบังคับเกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มแรงงานอุตสาหกรรมประมง ทั้งอยู่บนเรือ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องประมง โดยรูปแบบการบังคับใช้แรงงานในอดีตเป็นรูปแบบที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ออกไปข้างนอก ให้อยู่ในสถานที่ที่จำกัด บังคับใช้แรงงานจนทำให้เกิดความรุนแรงทางกาย
โดยในปัจจุบัน พบรูปแบบการบังคับใช้แรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป คือ มีการสร้างภาระหนี้ให้กับแรงงาน เช่น นายหน้าหรือนายจ้างที่เป็นคนนำพาแรงงานเข้าประเทศ ได้ออกค่าใช้จ่ายบางอย่างให้แรงงานก่อน และนำค่าใช้จ่ายที่อ้างเหล่านี้มาเป็นภาระหนี้ของแรงงาน มีการคิดดอกเบี้ย และแรงงานต้องทำงานชำระหนี้เหล่านี้ พอถึงเวลาในการจ่ายค่าจ้างจะถูกหักเงินเพื่อชำระหนี้ ซึ่งหนี้เหล่านี้ไม่มีความชัดเจนว่ามีจำนวนเงินที่แน่นอนเท่าใด ก่อให้เกิดเป็นวัฏจักร ทำให้แรงงานต้องจำใจทำงานต่อไปเพื่อชำระหนี้ที่ไม่รู้ระยะเวลาสิ้นสุด
นอกจากนี้ยังพบในรูปแบบเดียวกันนี้กับแรงงานภาคเกษตรกรรม โดยมีรูปแบบคล้ายๆ กัน คือ สร้างภาระหนี้ การยึดเอกสาร และการหักค่าจ้างชำระหนี้ที่แรงงานไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน รวมถึงการข่มขู่ต่างๆ ทำให้แรงงานไม่กล้าหนีหรือออกจากงานได้
"คิดว่าแรงงานบังคับเกิดขึ้นได้ในทุกอุตสาหกรรม ทุกรูปแบบการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม แต่ปัจจัยเสี่ยงอาจจะเป็นที่ตัวสถานะของแรงงานมากกว่าว่ามีความเปราะบางในลักษณะใด เช่น ในอุตสาหกรรมประมง พบว่าแรงงานที่มีความเสี่ยงถูกบังคับใช้แรงงาน คือ กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ซึ่งในหลายกรณีไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการการจ้างงานที่ปลอดภัยได้ และมีสถานะเปราะบางง่ายต่อการถูกบงการ"
น.ส.ณิชกานต์กล่าวด้วยว่า การจ้างงานในลูกจ้างงานบ้าน หรืออาชีพแม่บ้าน ที่ผ่านมามักถูกละเมิดสิทธิแรงงาน ทั้งเรื่องการทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ยังมีการจำกัดพื้นที่ การเสมือนการกักบริเวณเพื่อให้ทำงานโดยไม่ให้ไปไหน เป็นต้น บางกรณีแม่บ้านทำงานถึง 1 ปีก็ยังไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งการละเมิดอาชีพแม่บ้านนี้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ก็ยังไม่ถูกตีแผ่ในสื่อ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือเพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเป็นการบังคับใช้แรงงานหรือไม่
เธอยังกล่าวถึงข้อเสนอแนะในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและขจัดการใช้แรงงานบังคับฯ ด้วย ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านการพิจารณาทั้งจากภายในกระทรวงแรงงาน รัฐบาล และการรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ มาหลายครั้ง จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนความเห็นที่ได้เหล่านี้เพื่อให้กฎหมายที่ออกมามีคุณภาพและสะท้อนต่อปัญหาจริง
นอกจากนี้ยังควรกำหนดนิยามของคำว่า "แรงงานบังคับ" ให้มีลักษณะสอดคล้องกับคำนิยามตามพิธีสาร และนิยามที่มีอยู่ใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งนิยามไว้อย่างกว้าง เนื่องจากรูปแบบการบังคับใช้แรงงานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ได้จำกัดตายตัวอยู่ที่การทำร้ายร่างกาย สร้างภาระหนี้ หรือการยึดเอกสารเท่านั้น ดังนั้นนิยามที่กว้างจะสามารถครอบคลุมถึงรูปแบบการบังคับใช้แรงงานต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอนาคตได้
รัฐบาลร่าง พ.ร.บ.นี้ขึ้นเพื่ออุดช่องว่างใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานและ พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนว่าเมื่อตัวร่างฯ ตัวนี้ออกมาจะสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดรับกับกลไกของ พ.ร.บ.อีกสองฉบับที่มีอยู่เดิมอย่างไร เนื่องจาก พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานและ พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ก็ยังคงจะต้องเป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ความคุ้มครองผู้ใช้แรงงานจากการถูกเอารัดเอาเปรียบต่อไป นอกจากนี้ส่วนตัวมองว่าการศึกษารูปแบบการออกกฎหมายด้านคุ้มครองแรงงานในประเทศต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ แต่ท้ายที่สุดแล้วรูปแบบกฎหมายที่ออกมาควรสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยเป็นหลัก.