คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๑๔๐ - ๑๙๑๗๓/๕๗
สหภาพแรงงานทำบันทักข้อตกลงเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างกับนายจ้าง อันส่งผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของสมาชิก ขัดกับข้อตกลงเดิมและมิได้ขอมติที่ประชุมใหญ่ ข้อตกลงดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้
โจทก์ทั้งสามสิบสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามสิบสี่เป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์ทั้งสามสิบสี่กับจำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ที่มีผลใช้บังคับอยู่ เรื่องการปรับค่าจ้างว่าในกรณีที่รัฐบาลประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจำเลยตกลงปรับค่าจ้างให้ลูกจ้างทุกคนในอัตราตามผลต่างของอัตรา ค่าจ้างขั้นต่ำเดิมกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ต่อมารัฐบาล ( ที่ถูกเป็นคณะกรรมการค่าจ้าง ) ได้ประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ ๓๐๐ บาท ในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการซึ่งโจทก์ทั้งสามสิบสี่ทำงาน โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งมีผลให้จำเลยต้องปรับค่าจ้างให้ตามผลต่างของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมกับอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำใหม่เป็นจำนวนวันละ ๘๕ บาท แต่จำเลยได้ปรับค่าจ้างเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่เป็นจำนวนน้อยกว่าอัตราตามที่กำหนดในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี แก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ ตามคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์แต่ละคน
จำเลยให้การว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เรื่องการปรับค่าจ้างที่ว่าในกรณีที่รัฐบาลประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจำเลยตกลงปรับค่าจ้างให้ลูกจ้างทุกคนในอัตราตาม ผลต่างของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่นั้น มิได้กำหนดระยะเวลาใช้บังคับไว้ จึงมีผลใช้บังคับได้เพียง ๑ ปี นับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒ แม้รัฐบาล ( ที่ถูกเป็นคณะกรรมการค่าจ้าง ) จะประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ ๓๐๐ บาท ในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการซึ่งโจทก์ทั้งสามสิบสี่ทำงานโดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยก็ไม่จำต้องปรับค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เนื่องจากโจทก์ทั้งสิบสี่ได้รับค่าจ้างเกินกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนใหม่ แต่เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยกับสภาพแรงงานนิวโจโฮคุซึ่งเป็นสหภาพแรงงานของลูกจ้างจำเลยโดยประธานและกรรมการสหภาพแรงงานซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนลูก จ้างทุกคนก็ยังได้ทำหนังสือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกี่ยวกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นระบบขั้นบันได ใช้บังคับแทนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ จึงมีผลให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ สิ้นผลไป แล้วจำเลยได้ปรับเพิ่มค่าจ้างให้ลูกจ้างทุกคนรวมโจทก์ทั้งสามสิบสี่ด้วยตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ นับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ แล้ว จำเลยจึงไม่ได้ปฏิบัติผิดต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามสิบสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ทั้งสามสิบสี่เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ขณะรัฐบาล ( ที่ถูกเป็นคณะกรรมการค่าจ้าง ) ได้ประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ ๓๐๐ บาท ในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการซึ่งโจทก์ทั้งสามสิบสี่ทำงานโดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ โจทก์ทั้งสามสิบสี่กับจำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ โดยมิได้กำหนดระยะเวลาใช้บังคับไว้ ตามเอกสารหมาย ล.๑ ในเรื่องการปรับค่าจ้างว่า ในกรณีที่รัฐบาลมีประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จำเลยตกลงปรับค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างทุกคนตามผลต่างของอัตราค่าจ้างขั้น ต่ำเดิมกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยกับสหภาพแรงงานนิวโจโฮคุซึ่งเป็นสหภาพแรงงานของลูกจ้างจำเลยได้ประชุมเกี่ยวกับเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างและได้ตกลงในเรื่องดังกล่าวเป็นหนังสือตามเอกสารหมาย ล.๒ ว่าจะปรับเพิ่มค่าจ้างให้ลูกจ้างเป็นระบบขั้นบันใด ๓ ครั้ง สำหรับลูกจ้างที่เงินเดือนไม่ถึง ๑๐,๓๕๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ จะปรับเพิ่มให้วันละ ๔๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ จะปรับเพิ่มให้วันละ ๓๐ บาท โดยมีเงื่อนไขว่าปริมาณการทำงานต้องเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก ๑๒ เปอร์เซ็นต์ บวกลบ ๑ เปอร์เซ็นต์ จะบวกลบ ๑ บาท และจะพิจารณาว่าทำได้ตามที่กำหนดหรือไม่ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ และตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ จะปรับเพิ่มให้วันละ ๑๕ บาท ในส่วนลูกจ้างที่เงินเดือนตั้งแต่ ๑๐,๓๕๑ บาท ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ จะปรับเพิ่มให้วันละ ๓๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ จะปรับเพิ่มให้วันละ ๒๐ บาท โดยมีเงื่อนไขว่าปริมาณการทำงานต้องเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก ๑๒ เปอร์เซ็นต์ บวกลบ ๑ เปอร์เซ็นต์ จะบวกลบ ๑ บาท และจะพิจารณาว่าทำได้ตามที่กำหนดหรือไม่ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ และตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ จะปรับเพิ่มให้วันละ ๒๐ บาท และลูกจ้างทุกคนรวมโจทก์ทั้งสามสิบสี่ได้รับการทยอยปรับค่าจ่างระบบขั้นบันไดตามที่ได้ตกลงเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ แล้วจนถึงปัจจุบัน แล้ววินิจฉัยว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ มิได้กำหนดระยะเวลาใช้บังคับไว้จึงมีผลใช้บังคับ ๑ ปีนับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน แต่เมื่อครบ ๑ ปีมิได้มีการตกลงเจรจากันใหม่มีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละ ๑ ปี เมื่อคณะกรรมการค่าจ้างได้ประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละ ๓๐๐ บาท ในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการซึ่งโจทก์ทั้งสามสิบสี่ทำงานโดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยและสหภาพแรงงานนิวโจโฮคุโดยประธานและกรรมการสหภาพแรงงานซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนลูกจ้างทุกคนได้ตกลงเป็นหนังสือฉบับลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ว่า ให้ปรับเพิ่มค่าจ้างให้ลูกจ้างเป็นระบบขั้นบันได ตามเอกสารหมาย ล.๒ ทำให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ไม่มีผลใช้บังคับ เมื่อลูกจ้างทุกคนรวมโจทก์ทั้งสามสิบสี่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างตามข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสิบสี่ว่า โจทก์ทั้งสามสิบสี่มีสิทธิได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างเพิ่มจากที่ได้รับการปรับขึ้นไปแล้วตามจำนวนที่ยังขาดอยู่ตามที่ระบุในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏตามที่ศาลแรงงานกลางฟังและที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า ขณะคณะกรรมการค่าจ้างได้ประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ ๓๐๐ บาท ในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งโจทก์ทั้งสามสิบสี่ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยกับลูกจ้างของจำเลยจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ว่าในกรณีที่รัฐบาลมีประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จำเลยตกลงปรับค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างทุกคนตามผลต่างของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมกับอัตราค่าจ้างขั้น ต่ำ ใหม่โดยจัดทำขึ้นตามข้อเรียกร้องของลูกจ้าง ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยกับสหภาพแรงงานนิวโจโฮคุซึ่งเป็นสหภาพแรงงานของลูกจ้างโดยประธานและกรรมการสหภาพแรงงานประชุมเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างของลูกจ้างที่มีการประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าว และได้ตกลงเป็นหนังสือว่า จำเลยไม่อาจปรับขึ้นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในอัตราตามผลต่างของอัตรา ค่าจ้างขั้นต่ำเดิมกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ที่มีจำนวนเป็นเงินวันละ ๘๕ บาท ในคราวเดียวได้ จึงตกลงให้แบ่งทยอยปรับขึ้นค่าจ้างในลักษณะขั้นบันได ๓ ครั้ง ตามเอกสารหมาย ล.๒ ลูกจ้างจำเลยทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งสามสิบสี่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างตามข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ แล้ว แต่การดำเนินการของสหภาพแรงงานนิวโจโฮคุที่ไปประชุมตกลงกับจำเลยเรื่องการทยอยปรับขึ้นค่าจ้างนั้น ไม่ได้แจ้งแก่สมาชิกทราบและไม่ได้เรียกประชุมสมาชิกก่อน ซึ่งต่อมาโจทก์ทั้งสามสิบสี่ไม่เห็นด้วย เมื่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๙๘ (๑) และมาตรา ๑๐๓ (๒) กำหนดไว้ว่าการดำเนินการของสหภาพแรงงานต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงาน ซึ่งการดำเนินกิจการอันอาจกระทบกระเทือนถึงส่วนได้เสียของสมาชิกเป็นส่วนรวมจะกระทำได้ก็แต่โดยมติที่ประชุมใหญ่การที่สหภาพแรงงานนิวโจโฮคุโดยประธานและกรรมการสหภาพแรงงานไปเจรจาทำความตกลงกับจำเลยเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ แล้วยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างปรับขึ้นค่าจ้างโดยแบ่งทยอยปรับขึ้นเป็น ๓ ช่วง มิได้ปรับขึ้นในคราวเดียวกัน ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ นั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นประโยชน์แก่สมาชิก แต่กระทบกระเทือนถึงส่วนได้เสียของสมาชิกเป็นส่วนรวม เมื่อไม่ปรากฏว่าสหภาพ แรงงานกระทำการไปโดยมติที่ประชุมใหญ่จึงเป็นการกระทำไปโดยไม่มีอำนาจฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายดังกล่าว ทั้งมิใช่กรณีที่จำเลยได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างและดำเนินการตามขั้นตอนจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ถึงมาตรา ๑๙ แต่อย่างใด การที่จำเลยทยอยปรับขึ้นค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่ตามข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ทำให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่ไม่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างทันทีในคราวเดียว จึงเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ขัดแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากข้อเรียกร้องที่มีผลใช้บังคับอยู่ และทำให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นจำนวนน้อยกว่าอัตราตามที่กำหนดในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมอันไม่เป็นคุณตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๐ จึงไม่มีผลบังคับใช้จำเลยต้องถือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมที่เกิดจากข้อเรียกร้องและมีผลใช้บังคับอยู่ขณะนั้นคือฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ โดยต้องปรับขึ้นค่าจ้างเป็นจำนวนตามผลต่างของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมคืออัตราวันละ ๒๑๕ บาท ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ( ฉบับที่ ๕ ) ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ กับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ คือ อัตราวันละ ๓๐๐ บาท ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ( ฉบับที่ ๖ ) ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งผลต่างเป็นจำนวนเงินวันละ ๘๕ บาท และต้องปรับค่าจ้างให้ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ เมื่อจำเลยได้ปรับขึ้นค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ตามข้อตกลงฉบับที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าตามจำนวนอัตราที่ระบุในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ดังนั้นจำเลยจึงต้องปรับขึ้นค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่เพิ่มจากที่ได้รับการปรับขึ้นไปแล้วตามจำนวนที่ยังขาดอยู่ตามที่ระบุในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ ตามคำขอของโจทก์แต่ละคน ดังนั้นโจทก์ทั้งสามสิบสี่จึงมีสิทธิได้รับเงินที่จะปรับขึ้นค่าจ้างดังกล่าว ทั้งนี้หากจำเลยจ่ายเงินที่จะปรับขึ้นค่าจ้างในช่วงดังกล่าวตามข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ ให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่ไปแล้วบางส่วนเท่าใด ก็ให้นำมาหักออกเท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสินสี่ฟังขึ้น
อนึ่ง สำหรับที่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ขอดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัดนั้น เห็นว่า เงินที่โจทก์ทั้งสามสิบสี่มีสิทธิที่จะได้รับอันเนื่องมาจากการปรับอัตราค่าจ้างเพิ่มตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เงินดังกล่าวยังไม่มีสภาพเป็นค่าจ้างจึงมิใช่ค่าจ้างที่จะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แต่เป็นหนี้เงินที่คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เท่านั้น และเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์แต่ละคนทวงถามให้จำเลยจ่ายเงินที่จะได้จากการปรับอัตราค่าจ้างส่วนที่ขาดวันใด จึงต้องถือว่าจำเลยผิดนัดนับแต่วันฟ้องของโจทก์แต่ละคน ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) และมาตรา ๒๔๖ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑
พิพากษากลับ ให้จำเลยจ่ายเงินที่จะปรับขึ้นค่าจ้างในอัตราวันละ ๘๕ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ แก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่หากจำเลยจ่ายเงินที่จะปรับขึ้นค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวให้ไปแล้วบางส่วนเท่าใดก็ให้นำมาหักออกเท่านั้น แล้วจ่ายส่วนที่ขาดแก่โจทก์แต่ละคน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง ( วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด