คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๙๗๐ - ๑๓๙๗๑/๕๗
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากการเลิกจ้างมีอายุความฟ้องร้องได้ภายใน ๑๐ ปี
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๓๘ และเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๗,๗๐๐ บาท และ ๑๒,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นช่างซ่อมบำรุงฝ่ายผลิต ต่อมาวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๐ จำเลยเลิกจ้างโดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองลักทรัพย์หรือสมคบกับผู้อื่นลักทรัพย์ของจำเลยและแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสอง ต่อมาคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดโดยโจทก์ทั้งสองไม่มีความผิด การที่จำเลยเลิกจ้างทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานตามเดิมโดยจ่ายค่าจ้างและสวัสดิการที่เคยได้รับนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่รับกลับเข้าทำงานและนับอายุงานต่อเนื่อง หากจำเลยไม่ยินยอมรับกลับเข้าทำงานให้จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๖๓๗,๒๐๐ บาท และ ๔๓๒,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๗,๗๐๐ บาท และ ๑๒,๐๐๐ บาท และเงินโบนัสประจำปี ๒๕๔๙ จำนวน ๓๕,๔๐๐ บาท และ ๒๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี และจ่ายค่าชดเชย ๑๗๗,๐๐๐ บาท และ ๑๒๐,๐๐๐ บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๘,๘๕๐ บาท และ ๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองตามลำดับ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและแก้ไขคำให้การว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมโจทก์ทั้งสองตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการเนื่องจากโจทก์ทั้งสองลักทรัพย์หรือสมคบกับบุคคลอื่นลักทรัพย์ของจำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรง พฤติการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความระแวงสงสัยและไม่เป็นที่ไว้วางใจให้ทำงานร่วมกันต่อไปได้อีก จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่เคยขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีอาญาที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้าง โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยและบุคคลซึ่งเคยเป็นกรรมการของจำเลยกับลูกจ้างซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจของจำเลยในข้อหาแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ และทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ โดยเรียกค่าเสียหายจากจำเลยด้วย ศาลจังหวัดสมุทรปราการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้เดียวกันกับคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นฟ้องซ้อนโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกสินจ้างเกินกว่าสองปีนับแต่วันเลิกจ้างและเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่คดีอาญาที่โจทก์ทั้งสองถูกฟ้องเป็นจำเลยได้ถึงที่สุดแล้วคดีจึงขาดอายุความแล้ว การที่โจทก์ทั้งสองถูกจับกุมตามหมายจับดังกล่าวทำให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองลักทรัพย์หรือสมคบกับบุคคลอื่นลักทรัพย์ของจำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง กรณีมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างและมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยชอบที่จะเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ ให้แก่โจทก์ทั้งสอง ทั้งจำเลยไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานอีก เงินโบนัสประจำปี ๒๕๔๙ มิได้ถูกกำหนดขึ้นตามกฎระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน การจ่างเงินโบนัสดังกล่าวเป็นสิทธิของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวโดยพิจารณาผลประกอบการและความเหมาะสม โจทก์ทั้งสองถูกสั่งพักงานในปีนั้นจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสดังกล่าว โจทก์ทั้งสองทำงานไม่ครบรอบปี ในปีที่ถูกเลิกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๔,๗๕๐ บาท และ ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี กับค่าชดเชย ๑๗๗,๐๐๐ บาท และ ๑๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองตามลำดับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๘ และวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๔๐ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๗,๗๐๐ บาท และ ๑๒,๐๐๐ บาท ตามลำดับ กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑๕ และ ๓๐ ของแต่ละเดือน ตำแหน่งสุดท้ายเป็นช่างซ่อมบำรุงฝ่ายผลิต ต่อมาวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองตามหนังสือเอกสารหมาย จล.๑ โดยให้เหตุผลว่า โจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จล.๒ หมวดที่ ๙ (๕๕) ข้อ ๕๕.๕ และข้อ ๕๕.๑๔ เนื่องจากทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ ๑ ในข้อหาแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ และทำพยานหลักฐานเท็จพร้อมกับมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๐๓/๒๕๕๔ ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ทั้งสองเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากมูลละเมิด ส่วนคดีนี้โจทก์ทั้งสองเรียกร้องให้จำเลยรับผิดอันเนื่องมาจากมูลสัญญาจ้าง มิใช่การฟ้องร้องเรื่องเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน สำหรับสิทธิเรียกร้องเงินโบนัส สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความเอาไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกเงินดังกล่าวยังไม่เกินสิบปีนับแต่วันเลิกจ้างจึงไม่ขาดอายุความ แต่ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีมีลักษณะเป็นค่าจ้างจึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเกินกว่าสองปีนับแต่วันเลิกจ้างจึงขาดอายุความแล้ว จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองลักทรัพย์ของจำเลย ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยและฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่พฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโจทก์ทั้งสองย่อมทำให้จำเลยมีความระแวงสงสัยและไม่ไว้วางใจโจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองถือว่ามีเหตุอันสมควรและมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานหรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสประจำปี ๒๕๔๙ ไว้เช่นเดียวกับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสประจำปี ๒๕๕๔ เอกสารหมาย ล.๑๒ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าลูกจ้างที่ถูกพักงานในวันที่ถึงกำหนดจ่ายในปีใดจะไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสประจำปีนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสองถูกจำเลยสั่งพักงานในระหว่างการจ่ายเงินโบนัสประจำปี ๒๕๔๙ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามฟ้องจากจำเลย
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าพยานจำเลยมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่อ้างว่าโจทก์ทั้งสองกระทำผิด เพียงแต่เบิกความลอยๆโดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองลักทรัพย์ของจำเลย เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายจะต้องนำสืบและเป็นการรับฟังพยานบุคคลแทนพยานเอกสารอันได้แก่สำเนาหมายจับเอกสารหมาย ล.๑ และสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เอกสารหมาย ล.๓ โดยที่มิได้วินิจฉัยว่าเหตุใดพยานเอกสารทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวจึงไม่สามารถรับฟังได้นั้นเป็นการไม่ชอบก็ดี ขัดแย้งกับที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโจทก์ทั้งสองย่อมทำให้จำเลยมีความระแวงสงสัยและไม่ไว้วางใจโจทก์ทั้งสองก็ดี จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์ทั้งสองลักทรัพย์หรือสมคบกับบุคคลอื่นลักทรัพย์ของจำเลยก็ดี นั้น เห็นว่า ล้วนเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า สิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามีกำหนดอายุความเท่าใด จำเลยอุทธรณ์ว่า สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นค่าจ้างหรือสินจ้างอย่างอื่นจึงมีกำหนดอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) หาใช่มีกำหนดอายุความสิบปีดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย เห็นว่า คำว่า "ค่าจ้างหรือสินจ้างอย่างอื่น" ที่ลูกจ้างใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) หมายถึงสินจ้างตามมาตรา ๕๗๕ ซึ่งเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาจ้าง แต่สิทธิที่จะได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ลูกจ้างเรียกร้องเอาจากนายจ้างเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากการเลิกจ้างภายหลังสัญญาจ้างสิ้นสุดแล้ว ไม่ใช่สิทธิตามสัญญาจ้าง ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) จึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด