คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๘๘๒ - ๑๘๘๘๓/๕๗
พี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน มิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติ ประกันสังคม มาตรา ๗๓ และมาตรา ๗๗
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวของนางสาวสุภาภรณ์ ส่งทรัพย์เจริญ ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทลีน่า จำกัด ต่อมาบริษัทดังกล่าวเลิกกิจการ ผู้ประกันตนจึงเปลี่ยนมาเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๓๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ โดยผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบครบตามเงื่อนเวลาที่ก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ต่อมาวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๐ ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายด้วยโรคไตวายเรื้อรัง โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีตายและประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ มีคำสั่งที่ รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๐ ว่าไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จชราภาพกรณีตายเนื่องจากไม่มีทายาทผู้มีสิทธิตามมาตรา ๗๗ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และคำสั่งที่ รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๑ ว่าไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตายเนื่องจากไม่มีทายาทผู้มีสิทธิตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ ๖๕๘/๒๕๕๑ และที่ ๑๔๗๗/๒๕๕๑ ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว เพราะโจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ประกันตน เป็นทายาทประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๙ และเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาล จึงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตายและบำเหน็จชราภาพกรณีตาย ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ ที่ รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๐ และที่ รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๑ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ ๖๕๘/๒๕๕๑ และที่ ๑๔๗๗/๒๕๕๑
จำเลยให้การว่า คำสั่งของจำเลยและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ ที่ รง. ๐๖๒๖/๑๒๐๑๐ ( ที่ถูก รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๐) และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ ๑๔๗๗/๒๕๕๑ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวของนางสาวสุภาภรณ์ ส่งทรัพย์เจริญ ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทลีน่า จำกัด ต่อมาบริษัทดังกล่าวเลิกกิจการ ผู้ประกันตนจึงเปลี่ยนมาเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๓๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ โดยได้จ่ายเงินสมทบครบตามเงื่อนเวลาที่ก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ต่อมาวันที่ ๑๔ (ที่ถูก ๒๕) มีนาคม ๒๕๕๐ ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายด้วยโรคไตวายเรื้อรัง ก่อนตายผู้ประกันตนไม่ได้ทำหนังสือระบุให้ผู้ใดเป็นผู้รับเงินสงเคราะห์ โจทก์ยื่นคำร้องขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีตายต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ มีคำสั่งประโยชน์ทดแทนที่ รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๐ ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จชราภาพกรณีตาย เนื่องจากไม่มีทายาทผู้มีสิทธิตามมาตรา ๗๗ จัตวา แห่งประราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และคำสั่งที่ รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๑ ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตาย เนื่องจากไม่มีทายาทผู้มีสิทธิตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ โจทก์อุทธรณ์คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ ๖๕๘/๒๕๕๑ ว่า เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย เป็นทรัพย์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการตายหรือได้มาภายหลังการตายของผู้ประกันตนจึงไม่เป็นมรดกของผู้ประกันตน เมื่อผู้ประกันตนมิได้ทำหนังสือระบุให้บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตาย ทั้งบิดามารดาของผู้ประกันตนตายก่อนผู้ประกันตน โจทก์ในฐานะพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่ได้เป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามมาตรา ๗๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตาย จึงให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์และมีคำวินิจฉัยที่ ๑๔๗๗/๒๕๕๑ ว่า เงินบำเหน็จชราภาพกรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายเป็นทรัพย์ที่เกิดขึ้นหรือได้มาเนื่องจากการตายของผู้ประกันตน จึงไม่เป็นมรดกของผู้ประกันตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๐ ซึ่งทายาทโดยธรรมตามมาตรา ๑๖๒๙ จะมีสิทธิได้รับ ประกอบกับสิทธิในการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ประกันตนโดยแท้ ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายและไม่มีทายาทผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพตามมาตรา ๗๗ จัตวา วรรคสอง โจทก์ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ประกันตนมิใช่ทายาทที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพกรณีตาย จึงให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๗๓ บัญญัติว่า ในกรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน ถ้าภายในระยะเวลาหกเดือนก่อนถึงแก่ความตายผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน ให้จ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีตาย ดังนี้ .... ( ๒) เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์นั้น แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ ก็ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน ดังนี้ ....ฯลฯ ดังนั้น เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายเป็นเงินที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายแก่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้เท่านั้น สิทธิในการได้รับเงินดังกล่าวไม่ใช่สิทธิของผู้ตายจึงไม่ใช่มรดกของผู้ตาย แต่เป็นสิทธิของบุคคลที่ระบุไว้เท่านั้น ผู้ประกันตนไม่มีสามี ไม่มีบุตร และบิดามารดาของผู้ประกันตนตายไปก่อนแล้ว จึงไม่มีผู้มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยในส่วนนี้ สำหรับเงินบำเหน็จชราภาพนั้นพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๗๗ ทวิ วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบไม่ครบหนึ่งร้อยแปดสิบเดือนและความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๔๑ ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับบำเหน็จชราภาพ นางสาวสุภาภรณ์ เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ซึ่งมาตรา ๔๑ บัญญัติว่า ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ สิ้นสุดลงเมื่อผู้ประกันตนนั้น ( ๑ ) ตาย.... สิทธิในการได้รับบำเหน็จชราภาพจึงเป็นสิทธิของผู้ประกันตนขณะตาย เพราะมาตรา ๗๗ ทวิ วรรคสอง ไม่ได้บัญญัติยกเว้นกรณีการเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา ๔๑ ( ๑ ) สิทธิในการรับบำเหน็จชราภาพกรณีความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา ๓๘ และมาตรา ๔๑ จึงเป็นมรดกของผู้ประกันตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๐ ซึ่งตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ประกันตน โจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ประกันตน เป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา ๑๖๒๙ ( ๔ ) จึงมีสิทธิเรียกร้องเงินนี้ได้ กรณีมีเหตุสมควรเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยในส่วนนี้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายเป็นเงินที่ผู้ประกันตนส่งสมทบให้แก่สำนักงานประกันสังคมจำเลยเป็นรายเดือนมาก่อนถึงแก่ความตาย จึงเป็นเงินที่ผู้ประกันตนสะสมมาทุกเดือนก่อนตายและเป็นมรดกของผู้ประกันตน เมื่อไม่มีบุคคลผู้มีสิทธิได้รับตามที่มาตรา ๗๓ ( ๒ ) ระบุไว้ เงินดังกล่าวจึงต้องตกแก่โจทก์ผู้เป็นทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๒๐ ประกอบมาตรา ๑๖๒๙ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๒๑ บัญญัติว่า ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในสำนักงานประกันสังคม เรียกว่า กองทุนประกันสังคม เพื่อเป็นทุนใช้จ่ายให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ ๓ และเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๒๔ วรรคสอง มาตรา ๒๒ บัญญัติว่ากองทุนประกอบด้วย ( ๑ ) เงินสมทบจากรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ และมาตรา ๔๖ ( ๒ ) เงินเพิ่ม.... มาตรา ๒๓ บัญญัติว่า เงินกองทุนตามมาตรา ๒๒ ให้เป็นของสำนักงานและไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่งยังบัญญัติต่อไปอีกว่า เงินกองทุนให้จ่ายเป็นประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้ จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เงินที่ผู้ประกันตนออกสมทบเข้ากองทุนย่อมตกเป็นของสำนักงานประกันสังคมแล้ว หาใช่ยังเป็นเงินของผู้ประกันตนอันจะตกเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ บุคคลใดจะได้รับประโยชน์ทดแทนตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ ๓ กรณีใดหรือไม่เพียงใด ย่อมเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กำหนดไว้เท่านั้น โจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ประกันตนซึ่งมิใช่บุคคลตามที่มาตรา ๗๓ ( ๒ ) ระบุไว้ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพอันเป็นประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามมาตรา ๗๗ ( ๒ ) หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์มิใช่ผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตามที่มาตรา ๗๗ จัตวา วรรคสอง บัญญัติไว้อันเป็นกฎหมายเฉพาะ ไม่ใช่กรณีมรดกตกทอดทั่วๆ ไป จึงนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้ไม่ได้ เห็นว่า เงินบำเหน็จชราภาพเป็นประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๗๗ ( ๒) ซึ่งมาตรา ๗๗ จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามมาตรา ๗๗ ทวิ ถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน หรือผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายในหกสิบเดือนนับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพให้ทายาทของผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ วรรคสองบัญญัติว่า ทายาทผู้มีสิทธิตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ( ๑ ) บุตรชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้นบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นให้ได้รับสองส่วน ถ้าผู้ประกันตนที่ตายมีบุตรตั้งแต่สามคนขึ้นไปให้ได้รับสามส่วน ( ๒ ) สามีหรือภริยาให้ได้รับหนึ่งส่วน และ ( ๓ ) บิดามารดา หรือบิดาหรือมารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ได้รับหนึ่งส่วน วรรคสามบัญญัติต่อไปอีกว่า ในกรณีที่ไม่มีทายาทในอนุมาตราใด หรือทายาทนั้นได้ตายไปเสียก่อน ให้แบ่งเงินตามมาตรา ๗๗ ( ๒ ) ในระหว่างทายาทผู้มีสิทธิในอนุมาตราที่มีทายาทผู้มีสิทธิได้รับ จะเห็นได้ว่า มาตรา ๗๗ จัตวา วรรคสองและวรรคสาม ได้กำหนดตัวบุคคลผู้เป็นทายาทที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพพร้อมกำหนดสัดส่วนที่จะได้รับโดยเฉพาะ หาใช่นำเอาทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้ไม่ ทั้งเงินบำเหน็จชราภาพก็เป็นประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามมาตรา ๗๗ (๒) ซึ่งนำเงินกองทุนประกันสังคมมาจ่ายตามบทบัญญัติของมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่งจึงต้องจ่ายให้แก่บุคคลและตามสัดส่วนที่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๗๗ จัตวา บัญญัติไว้โดยเฉพาะเท่านั้น โจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ประกันตน ซึ่งมิใช่บุคคลตามที่มาตรา ๗๗ จัตวา วรรคสอง บัญญัติไว้ว่าเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ แม้ผู้ประกันตนจะไม่มีทายาทตามมาตรา ๗๗ จัตวา วรรคสอง บัญญัติไว้เลย ก็ไม่อาจนำเงินกองทุนประกันสังคมมาจ่ายแก่ทายาทอื่นให้ขัดกับบทบัญญัติมาตรา ๒๔ และมาตรา ๗๗ จัตวา ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๔ ที่ รง. ๐๖๒๖/ปย.๑๒๐๑๐ และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ ๑๔๗๗/๒๕๕๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด