คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๑๖๒/๕๗
ประกาศใช้ระเบียบใหม่ ไม่ปรากฏว่ามีพนักงานโต้แย้งคัดค้าน ถือว่าทุกคนยินยอมปฏิบัติตามระเบียบ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒ จำเลยเข้าทำงานเป็นพนักงานของโจทก์ในตำแหน่งฝ่ายขายโฆษณา ต่อมาในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ จำเลยมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายโฆษณา เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๐ จำเลยยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าตามระเบียบข้อบังคับในการทำงานและให้การลาออกมีผลในวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป เมื่อจำเลยลาออกไปอย่างกะทันหัน โจทก์ต้องใช้เวลาเลือกสรรบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารงานแทนจำเลย ๒ เดือนเศษนับแต่วันที่จำเลยลาออก โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก มียอดขายตกต่ำลงตลอดมาเป็น เวลากว่า ๒ เดือน คิดเป็นความเสียหายประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ โจทก์จ่ายเงินรางวัล ๕,๐๐๐ บาทและใบประกาศวุฒิบัตรแก่จำเลยซึ่งมีคุณสมบัติตรงตามที่โจทก์กำหนด เมื่อจำเลยลาออก จำเลยต้องนำส่งเงินรางวัลและวุฒิบัตรคืนแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามจำเลยหลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๒๐๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยคืนวุฒิบัตรการทำงานแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ลาออกอย่างกะทันหัน จำเลยมิได้ละทิ้งหน้าที่และมิได้ลาออกโดยผิดระเบียบแต่อย่างใด โจทก์ทราบล่วงหน้าว่าจำเลยจะลาออกเพื่อหางานใหม่เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๒ เดือน แล้ว จำเลยลาออกเพราะโจทก์ปฏิบัติผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่จ่ายเงินจูงใจพิเศษหรือค่าคอมมิสชันจากผลงานที่จำเลยและทีมงานภายใต้การบริหารงานของจำเลยหาโฆษณาได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๙ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๐ เป็นเวลา ๙ เดือน จำเลยจะหางานใหม่และได้แจ้งโจทก์ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๐ ว่าจำเลยประสงค์จะลาออก ให้โจทก์เตรียมหาบุคคลมาแทนที่จำเลย โดยติดต่อขอใบลาออกจากฝ่ายบุคคลและแจ้งให้นายสมบูรณ์ อชิยาวรกุล กรรมการของโจทก์ทราบวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๐ จำเลยไปพบนายสมบูรณ์อีกครั้งและสอบถามว่าหาบุคลากรแทนจำเลยได้หรือยังเป็นเหตุให้นายสมบูรณ์ไม่พอใจ และแจ้งให้จำเลยเขียนใบลาออกได้ทันที จำเลยเขียนใบลาออกฉบับลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๐ ก็เพราะนายสมบูรณ์เป็นผู้ให้เขียนพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ไม่ต้องการจะให้จำเลยทำงานกับโจทก์อีกต่อไป จำเลยมิได้กระทำความผิดใดๆ ตามสัญญาจ้าง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย จำเลยมิได้ก่อความเสียหายใดๆ เพราะการขายโฆษณาจะได้มากขึ้นหรือลดลงเป็นเรื่องกลไกลตลาดและสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ กับอยู่ที่นโยบายของโจทก์ที่จะปฏิบัติต่อลูกค้าด้วยซึ่งอยู่นอกเหนือการบังคับของจำเลย พนักงานของโจทก์ที่เกี่ยวกับงานขายโฆษณามีไม่ต่ำกว่า ๗๐ คนและบุคลากรของโจทก์ทั้งหมดมีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ คน จำเลยลาออกเพียงคนเดียวมิได้กระทบถึงกิจการของโจทก์ บุคลากรของโจทก์ที่มีความสามารถมีอยู่มาก สามารถเข้ามาทำงานแทนจำเลยได้โดยไม่จำเป็นต้องสรรหาจากบุคคลภายนอก หรือหากจะสรรหาจากบุคคลภายนอกก็หาได้ไม่ยาก เพราะลักษณะของงานเป็นเพียงบริหารงานขายโฆษณาที่มีกลุ่มลูกค้าประจำอยู่ก่อนแล้ว จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายแต่อย่างใด โจทก์มอบเงินรางวัลและวุฒิบัตรเพื่อเป็นเงินรางวัลตอบแทนการทำงานของจำเลยที่ผ่านมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนไม่ว่าจำเลยจะลาออกหรือยังคงทำงานกับโจทก์ต่อไป โจทก์ยังค้างชำระค่าคอมมิสชันที่จะต้องจ่ายให้แก่จำเลยในระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๙ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๐ เป็นเวลา ๙ เดือน ซึ่งจำเลยมียอดขายเดือนละไม่ต่ำกว่า ๒ ล้านบาท เช่นเดียวกับยอดขายในเดือนมกราคม ๒๕๔๙ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๔๙ จึงอยู่ในเงื่อนไขที่โจทก์จะต้องจ่ายค่าคอมมิสชันให้แก่จำเลย และเมื่อคิดคำนวณยอดขายเฉลี่ยที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยที่ผ่านมา จำเลยได้รับค่าคอมมิสชันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ ของยอดขายโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าคอมมิสชันให้จำเลยในอัตราเฉลี่ยร้อยละ ๑ ของยอดขาย รวมเป็นเงิน ๒๒๒,๖๒๑.๑๐ บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ชำระเงิน ๒๒๒,๖๒๑.๑๐ บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินต้นเสร็จสิ้น
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นับแต่วันที่การลาออกของจำเลยมีผลบังคับจำเลยมีสิทธิได้รับเงินจูงใจจากโจทก์เพียง ๑๗,๒๖๕.๓๐ บาท ตามหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติตามสภาพการจ้างที่กำหนดไว้ มิใช่ดังที่จำเลยเรียกร้องตามฟ้องแย้ง ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีคิดคำนวณเงินจูงใจดังกล่าวทั้งโจทก์และจำเลยตกลงร่วมกันปฏิบัติต่อกันโดยถือเป็นสภาพการจ้างระหว่างกัน ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างโดยเลื่อนลอยไม่เป็นความจริง และมิได้บรรยายให้แจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ายอดเงินจูงใจตามฟ้องแย้งนั้นมีหลักการคิดคำนวณอย่างไร และคิดคำนวณจากยอดรายการใด เมื่อใด แต่จำเลยใช้เพียงการเทียบเคียงคาดเดากับยอดเงินจูงใจที่จำเลยได้รับมาก่อนหน้าเท่านั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเคลือบคลุมและไม่เป็นความจริง ตามระเบียบปฏิบัติที่เป็นสภาพการจ้าง เมื่อพนักงานฝ่ายขายผู้ใดลาออกโจทก์จะสรุปยอดเงินและเบิกจ่ายเงินจูงใจให้แก่พนักงานฝ่ายขายนั้นภายในกำหนด ๖ เดือนนับแต่วันที่พ้นสภาพการเป็นพนักงาน ฉะนั้น เมื่อนับจากวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๐ จนถึงวันที่จำเลยฟ้องแย้ง (วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๐) เป็นเวลาเพียง ๕ เดือนเศษ สิทธิเรียกร้องของจำเลยจึงยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ยังไม่ผิดนัดต่อจำเลยและโจทก์มิได้โต้แย้งสิทธิใดๆ ของจำเลยขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว รับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ประกาศใช้ระเบียบใหม่ตามเอกสารหมาย จ.๓๐ จริง และจำเลยรับทราบระเบียบดังกล่าวโดยลงลายมือชื่อรับทราบไว้ในเอกสารนั้นแล้ว และวินิจฉัยว่า การลาออกของจำเลยเป็นการลาออกโดยชอบไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินรางวัลและวุฒิบัตรคืนจากจำเลย การคิดค่าคอมมิสชันหรือเงินจูงใจพิเศษจะต้องเป็นไปตามระเบียบข้อ ๖.๓๕ และ ๙.๓ ของเอกสารหมาย จ.๓๐ และ จ. ๓๑ เมื่อพิจารณาประกอบยอดขายของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๒๙ โจทก์ค้างค่าคอมมิสชันจำเลยระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๙ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๐ เป็นเงิน ๑๗,๒๖๕.๓๐ บาท พิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งของจำเลย แต่ให้จำเลยมีสิทธิได้รับเงิน ๑๗,๒๖๕.๓๐ บาท ที่โจทก์วางไว้ที่ศาลแรงงานกลางได้
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่า ระเบียบปฏิบัติด้านบัญชีและการเงินสำหรับการขายโฆษณาและระเบียบวิธีคิดคำนวณเงินจูงใจฉบับลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๗ และเอกสารแนบท้ายระเบียบปฏิบัติด้านบัญชีและการเงินสำหรับการขายโฆษณาและระเบียบวิธีคิดคำนวณเงินจูงใจฉบับลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๗ เรื่อง เปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมตามวาระการประชุมซึ่งประกาศและบังคับใช้วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๙ เอกสารหมาย จ.๒๙ และ จ.๓๐ เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับใช้แก่จำเลยและพนักงานขายหรือไม่โดยจำเลยอุทธรณ์อ้างว่า จำเลยและพนักงานมิได้รู้เห็นหรือร่วมประชุมตกลงยินยอมเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบดังกล่าวด้วย โจทก์จะเปลี่ยนแปลงระเบียบดังกล่าวเป็นโทษแก่พนักงานไม่ได้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแล้วว่าโจทก์ประกาศใช้ระเบียบใหม่ตามเอกสารหมาย จ.๓๐ ให้พนักงานขายทราบแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๙ และจำเลยลงลายมือชื่อรับทราบเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๙ หลังจากนั้นมาจนถึงวันที่จำเลยลาออกซึ่งนานถึง ๖ เดือน ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหรือพนักงานขายคนใดโต้แย้งคัดค้านระเบียบใหม่ตามเอกสารหมาย จ.๓๐ แต่อย่างใด จึงถือได้ว่าจำเลยและพนักงานขายทุกคนได้ยินยอมรับปฏิบัติตามระเบียบที่เปลี่ยนแปลงใหม่ดังกล่าวนี้แล้ว ระเบียบปฏิบัติด้านบัญชีและการเงินสำหรับการขายโฆษณาและระเบียบวิธีคิดคำนวณเงินจูงใจฉบับลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๗ และเอกสารแนบท้ายหมาย จ.๒๙ และ จ.๓๐ จึงมีผลบังคับใช้แก่จำเลยและพนักงานขายทุกคนของโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่อาจปฏิเสธระเบียบดังกล่าวนี้ได้นั้นจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด