อุตสาหกรรมก่อสร้างปีม้าซึมการเมืองป่วน-แรงงานขาด-กำลังซื้อหด
ผลการปรับเปลี่ยนรัฐบาล ทำให้เกิดการชะลอการลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและในวิกฤติ ทำให้ภาคก่อสร้างปรับตัวจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ผู้รับเหมาสามารถรับผิดชอบงานที่มีอยู่มากในมือให้แล้วเสร็จทันเวลาและมีประสิทธิภาพ สำคัญ ผู้ประกอบการต้องวางแผนตั้งรับและปรับตัวต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่รุมเร้า ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง และการชะลอกำลังซื้อของผู้บริโภคตามทิศทางเศรษฐกิจขาลง
ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมก่อสร้าง มีความคึกคักมาก ทั้งการก่อสร้างในส่วนของโครงการภาครัฐที่มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล การก่อสร้างและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอื่น อาทิ การขยายโครงข่ายถนนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และการปรับปรุงโครงสร้างทางรถไฟ โดยเปลี่ยนมาใช้รางที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและใช้หมอนคอนกรีตแทนหมอนไม้ ระยะที่ 5 (สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางแก่งคอย-แก่งเสือเต้น ช่วงสุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ และช่วงชุมทางถนนจิระ- ชุมทางบัวใหญ่ รวมระยะทางทั้งสิ้น 308 กม.) และระยะที่ 6 (สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย ระยะทาง 278 กม.) เป็นต้น
ส่วนการก่อสร้างของภาคเอกชน มีการเติบโตออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ เนื่องจากกิจกรรมเศรษฐกิจของภาคเอกชนขยายตัวไปในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการเติบโตของการค้าและการลงทุน เช่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และเชียงราย เป็นต้น และแม้ว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างจะหนุนให้กลุ่มผู้รับเหมาปรับตัวดีขึ้น แต่ก็กลับสร้างแรงกดดันและนำมาซึ่งอุปสรรคให้แก่ผู้ประกอบการ ยกตัวอย่างเช่น การเติบโตของโครงการก่อสร้างหลายโครงการในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีผลกระตุ้นให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้างพื้นฐาน อย่าง ปูนซีเมนต์ เนื่องจากอุปสงค์สินค้าวัสดุก่อสร้างขยายตัว นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนกำลังแรงงานเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีมะเมีย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างน่าจะชะลอตัวลงจากในช่วงที่ผ่านมา เพราะผลจากปัจจัยเฉพาะของภาคอุตสาหกรรมที่ส่วนหนึ่งต้องพึ่งพานโยบายการลงทุนของภาครัฐ
และผลจากประเด็นการเมืองก็กระทบต่อบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ทำให้ภาคเอกชนโดยรวมชะลอการลงทุนออกไป ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยที่จะมีผลต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2557 ดังนี้
ภาวะอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีม้านี้มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากปี 2556 ซึ่งมีผลมาจากอุตสาหกรรมก่อสร้างต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ซึ่งรวมถึงการกำหนดนโยบายการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่จะมีผลต่อเนื่องไปยังการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ยังต้องติดตามเสถียรภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากจะมีผลต่อกิจกรรมการลงทุนในประเทศไทยจากนักลงทุนต่างชาติในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ภาคก่อสร้างยังมีแรงหนุนเฉพาะจากกิจกรรมเศรษฐกิจในส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะผลประโยชน์ต่อเนื่องจากการค้าและการลงทุนที่คึกคักตามแนวชายแดนและพื้นที่ใกล้เคียง ก็จะส่งผลให้การลงทุนก่อสร้างในกลุ่มพาณิชยกรรมเติบโตตามไปด้วย และอาจทำให้เกิดการพัฒนาสิ่งจำเป็นพื้นฐานจากภาครัฐตามมา เช่น การปรับปรุงโครงข่ายถนนและระบบราง นอกจากนี้ การเร่งลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ทันและพร้อมสำหรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ก็เป็นอีกปัจจัยบวกหนึ่งสำหรับกลุ่มผู้รับเหมาในต่างจังหวัด ให้สามารถมีโอกาสในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการก่อสร้างในประเทศ เพื่อนบ้าน อาทิ การก่อสร้างและตกแต่งบ้านเรือนใน สปป.ลาว และด้วยเหตุจากปัจจัยบวกนี้ น่าจะส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2557 ยังคงขยายตัว แม้ว่าอัตราการเติบโตของปริมาณงานก่อสร้างมีแนวโน้มต่ำกว่า 2 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองภาพรวมการก่อสร้างของภาครัฐและเอกชน ในปี 2557 ดังนี้ การก่อสร้างภาครัฐส่วนใหญ่ น่าจะมาจากโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพื่อให้แล้วเสร็จทันกำหนดภายหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศยุบสภาและจัดให้ มีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2557
ส่งผลให้การพิจารณาลงทุนโครงการต่างๆ ชะลอออกไป นอกจากนี้ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ..... ก็ยังหยุดชะงัก เนื่องจากต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และยังต้องรอนโยบายลงทุนจากรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ดี แม้แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมฯ ดังกล่าวจะล่าช้าออกไป แต่การก่อสร้างภาครัฐในปี 2557 นี้ จะยังได้รับอานิสงส์จากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ อย่าง โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ วงเงิน 12,224 ล้านบาท (มีความเป็นไปได้ที่งานก่อสร้างจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2557) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ วงเงิน 20,458 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งจะลงทุนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
อีกทั้งยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้งบปกติ ประจำปีงบประมาณ 2557 เช่น โครงการเร่งรัดขยายถนน 4 ช่องจราจรระยะที่ 2 (เช่น สายอุบลราชธานี-อำนาจเจริญ และสาย อ.แก่งคร้อ-ชุมแพ) วงเงิน 3,780 ล้านบาท และการก่อสร้างทางแยกต่างระดับ สะพานและอุโมงค์ 7 โครงการ (เช่น แยกเดชาติวงศ์ และเลี่ยงเมืองนครสวรรค์) และวงเงิน 4,890 ล้านบาท จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การก่อสร้างโครงการภาครัฐน่าจะยังขับเคลื่อนได้
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสจะลงทุนเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ซึ่งวางแผนเปิดประมูลในปี 2557 คือ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูนราษฎร์บูรณะ วงเงิน 116,000 ล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-ลำลูกกา วงเงิน 38,168 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลจากการยุบสภาอาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณ และการอนุมัติโครงการต่างๆ มีความล่าช้า ทั้งนี้ การก่อสร้างของภาครัฐในแต่ละปี มีการเบิกจ่ายเพื่อใช้ลงทุนก่อสร้างสูงในไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่คลี่คลายก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างโครงการภาครัฐ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวนี้ กิจกรรมการก่อสร้างของภาครัฐ น่าจะเติบโต ณ ราคาปัจจุบัน ประมาณร้อยละ 0.5-3.0 ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2556 ที่คาดว่าจะเติบโตราว ร้อยละ 0.3
การก่อสร้างภาคเอกชน น่าจะขับเคลื่อนจากกลุ่มพาณิชยกรรม ในส่วนภูมิภาค สำหรับทิศทางการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2557 นี้ โดยภาพรวมคาดว่าจะเติบโตชะลอลง โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกิจกรรมการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ที่คาดว่าการลงทุนโครงการใหม่ในปี 2557 คงจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มการพัฒนาคอนโดมิเนียม เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยมีปัจจัยเฉพาะที่เข้ามากดดันกิจกรรมการลงทุน เช่น กำลังซื้อที่อ่อนตัวลงเนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง เป็นต้น
อย่างไรก็ดี กิจกรรมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทพาณิชยกรรม คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคเอกชนรายใหญ่ อาทิ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก และกลุ่มธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ยังคงมีแผนการขยายการลงทุนไปในต่างจังหวัด เพื่อรองรับกับการเติบโตของสังคมเมือง ประกอบกับจังหวัดที่เป็นยุทธศาสตร์ของเออีซี และจังหวัดที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวยังมีภาพของกิจกรรมการลงทุนในการก่อสร้าง
สำหรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม บางส่วนอาจเลื่อนแผนลงทุนไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อเฝ้ารอความชัดเจนทางการเมือง อย่างไรก็ดี ภาพรวมการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในปี 2557 น่าจะขยายตัวในเขตนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะได้รับแรงผลักดันจากกลุ่มผู้ผลิตสินค้าที่มุ่งเน้นการส่งออก ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวนี้ กิจกรรมการก่อสร้างของภาคเอกชน น่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 4.0-6.7 ชะลอลงจากปี 2556 ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 8.2
จากปัจจัยข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างจะได้รับแรงผลักดันจากภาคเอกชนเป็นหลัก และคาดว่า มูลค่าการลงทุนก่อสร้างในปี 2557 มีแนวโน้มเติบโตในอัตราชะลอลง
ร้อยละ 2.5-5.0 หรือมีมูลค่า 994,500-1,018,500 ล้านบาท จากมูลค่าการก่อสร้างในปี 2556 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินไว้ที่ 970,000 ล้านบาท
โดยสรุป แม้การชะลอการลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ..... เป็นข้อจำกัดให้ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2557 ขยายตัวในอัตราที่ไม่สูงนัก
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง อาจเป็นช่วงเวลาที่ภาคก่อสร้างจะได้ปรับตัวจากประเด็นปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมา อุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยเติบโตค่อนข้างมาก จากกิจกรรมการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีหลายโครงการพร้อมกัน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก ทั้งนี้ การเลื่อนระยะเวลาลงทุนออกไป ทำให้กลุ่มผู้รับเหมาจะสามารถรับผิดชอบงานที่มีอยู่มากในมือให้แล้วเสร็จทันเวลาและมีประสิทธิภาพได้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการต้องเผชิญกับปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเร่งขึ้น โดยเฉพาะซีเมนต์ที่เป็นสินค้าวัสดุก่อสร้างที่มีสัดส่วนการใช้สูงในอันดับต้นๆ โดยรวมในปี 2556 ปรับตัวเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับที่หดตัวร้อยละ 1.7 ในปี 2555 เนื่องจากความต้องการใช้ที่เติบโตตามกิจกรรมก่อสร้าง ดังนั้นการชะลอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก็อาจจะมีผลช่วยชะลอการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการก่อสร้าง ให้มีเวลาในการเตรียมพร้อมแผนจัดการกับปัญหาต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่คาดว่าจะสูงขึ้นอีกในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ในปี 2557 นี้ ผู้ประกอบการอาจต้องวางแผนตั้งรับและปรับตัวต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่รุมเร้า โดยเฉพาะประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจส่งผลกระทบกับแผนลงทุนก่อสร้างโครงการภาครัฐ ในขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ