กฎหมายวาไรตี้: 'สัญญาจ้างแรงงาน'
ช่วงที่เศรษฐกิจโลกถดถอย จะเห็นข่าวบริษัทที่ทำธุรกิจมีอันต้องล้มเลิกกิจการ หรือปิดโรงงานและเลิกจ้างลูกจ้างเป็นจำนวนมาก แล้วมีการรวมตัวของลูกจ้างเรียกร้องค่าชดเชย และค่าจ้าง หรือกรณีทำสัญญาจ้างงานกัน แล้วลูกจ้างกลับเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ไปทำงาน เป็นเหตุให้นายจ้างเสียหาย ทำให้เกิดคำถามที่น่าคิดว่า คู่สัญญามีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไรกันได้บ้างโดยอาศัยกฎหมายใด ซึ่งครั้งนี้จะได้วิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวในชื่อเรื่องว่าสัญญาจ้างแรงงาน
สัญญาจ้างแรงงาน เป็นเอกเทศสัญญาที่บัญญัติอยู่ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 ว่า "จ้างแรงงานคือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้"
จากบทนิยามของกฎหมายข้างต้นจะเห็นว่า สาระสำคัญของสัญ ญาจ้างแรงงานมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ก่อหนี้ให้แก่คู่สัญ ญาทั้งสองฝ่าย โดยลูกจ้างมีหน้าที่ต้องทำงานให้แก่นายจ้าง และนาย จ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้แก่ลูกจ้าง
แบบของสัญญา
สัญญาจ้างแรงงานกฎหมายไม่ได้กำหนดรูปแบบการทำสัญ ญาไว้ ดังนั้น แม้เพียงตกลงกันด้วยวาจาก็ถือได้ว่าสัญญามีผลสมบูรณ์บังคับกันได้
หน้าที่ของลูกจ้าง
1.หน้าที่ต้องทำงานด้วยตนเอง ลูกจ้างจะให้บุคคลภายนอกทำงานแทนตนไม่ได้ เว้นแต่นายจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย
2.หน้าที่ต้องทำงานให้ตรงกับความสามารถพิเศษ ถ้าลูกจ้างรับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษก่อนให้เกิดหน้าที่ที่ลูกจ้างจะต้องทำงานให้ตรงกับความสามารถพิเศษที่ตนได้รับรองไว้นั้น
3.หน้าที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของนายจ้าง หากจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ ละทิ้งการงานไปเสีย กระทำความผิดอย่างร้ายแรง หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต นายจ้างมีสิทธิ์ไล่ลูกจ้างโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ต้องให้สินไหมทดแทนก็ได้
4.หน้าที่ต้องไม่ขาดงานไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร หากขาดงานไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือขาดงานไปเป็นช่วงระยะเวลานาน เช่น ลูกจ้างขาดงานไปโดยไม่ได้ยื่นใบลาหรือได้รับอนุญาตให้หยุดเป็นเวลานาน จนน่าจะเกิดความเสียหายต่อนายจ้าง กรณีเช่นนี้นายจ้างบอกเลิกการจ้างได้
หน้าที่ของนายจ้าง
1.หน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างหรือสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ค่าจ้างหรือสินจ้างจะเป็นเงินตราหรือทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้ และการจ่ายค่าจ้างปกติจะจ่ายตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา แต่หากไม่ระบุไว้ จ่ายเมื่องานได้ทำแล้วเสร็จ ถ้าการจ่ายสินจ้างนั้นได้กำหนดกันไว้เป็นระยะเวลา ก็ให้จ่ายเมื่อสุดระยะเวลาเช่นนั้นทุกคราวไป
2.หน้าที่ต้องออกใบรับรองงานให้แก่ลูกจ้างเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง เมื่อเลิกจ้างลูกจ้างมีสิทธิ์ขอใบรับรองงานหรือใบผ่านงานเพื่อใช้เป็นคุณสมบัติในการไปหาสมัครงานกับนายจ้างอื่นต่อไปได้
3.หน้าที่ต้องส่งคนงานกลับภูมิลำเนากรณีที่รับลูกจ้างมาจากต่างถิ่น ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่น โดยนาย จ้างออกเงินค่าเดินทางให้ เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลง และถ้ามิได้กำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว นายจ้างจะต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้
หน้าที่ของลูกจ้างและนายจ้างดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นถึงกฎหมายควบคุมบังคับให้คู่สัญญามีภารกิจต้องปฏิบัติตาม หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดฝ่าฝืน อีกฝ่ายมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสัญญาจ้างแรงงานมีผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ รัฐจึงได้บัญญัติกฎหมายพิเศษเรียกว่า กฎหมายแรงงาน อันได้แก่ กฎหมายคุ้มครองแรงงาน, กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ และกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบของสัญญาว่าควรมีผลเป็นประการใดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่าฝืน อีกฝ่ายสามารถนำข้อพิพาทดังกล่าวฟ้องร้องต่อศาลให้คู่สัญญาต้องรับผิดได้ ดังต่อไปนี้
1.เวลาทำงานและเวลาพัก ตลอดจนวันหยุด วันลา กฎหมายกำหนดเวลาทำงานเพื่อให้นายจ้างต้องปฏิบัติตามอันเป็นการคุ้มครองลูกจ้าง เช่น เวลาทำงานปกติสำหรับงานทั่วไปจะต้องไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง ส่วนงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยของลูกจ้าง ต้องไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง และต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
สำหรับวันหยุด วันลา กฎหมายกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิ์หยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน หยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่าปีละ 13 วัน นอกจากนี้ ยังกำหนดจำนวนวันที่เป็นสิทธิ์ของลูกจ้างในการลาป่วย ลาคลอดบุตร ด้วย
2.ค่าตอบแทนในการทำงาน ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ทางราชการกำหนดไว้ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งในแต่ละท้องที่จะมีประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นมาตรฐานให้นายจ้างต้องจ่ายเป็นค่าแรงงานแก่ลูกจ้าง
3.เงินทดแทนเมื่อเกิดอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน ลูกจ้างหรือทายาทมีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน ค่าทำศพและค่าทดแทนจากนายจ้างได้
4.เงินชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่ใช่ความผิดของลูกจ้าง ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนเงินอย่างน้อยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายไม่น้อยกว่า 30 วัน ข้อพิพาทอันเกิดจากคดีแรงงานนี้ สามารถฟ้องร้องยังศาลแรงงานที่อยู่ในท้องที่ ซึ่งการฟ้องร้องสามารถดำเนินการด้วยตนเอง ไม่ต้องจ้างทนายความ เพราะศาลจะมีเจ้าหน้าที่หรือนิติกรประจำศาลคอยให้คำปรึกษาช่วยร่างคำฟ้องร่างคำให้การเพื่อยื่นต่อศาลเป็นบริการฟรี และกระบวนพิจารณาจะกระทำด้วยความรวดเร็ว ถือได้ว่าการดำเนินคดีในศาลแรงงานเป็นเรื่องที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัด และเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย.