ปลัดฯ แรงงานสั่งทบทวนค่าจ้างขั้นต่ำใหม่
ห้วยขวาง * นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างฯ เพื่อพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2554 ว่า ที่ประชุมมีมติให้คณะอนุ กรรมการวิชาการและกลั่นกรองค่าจ้างกลับไปทบทวนอัตราค่าจ้างของแต่ละจังหวัดใหม่อีกครั้ง หลังจากตัวเลขล่าสุดเสนอให้ทุกจังหวัดปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 บาท ขณะที่ กทม.และปริมณฑลปรับขึ้น 7 บาท เป็น 213 บาท เนื่องจากอัตราดังกล่าวเป็นอัตราค่าจ้างเชิงอัตภาพ ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการปรับค่าจ้างครั้งนี้ ที่ต้องการจะเห็นคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานดีขึ้น โดยตนอยากให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างแบบเชิงคุณภาพทั้งหมด แต่ต้องดูความสามารถในการจ่ายของนายจ้างด้วย
ขยับค่าจ้างทั่วประเทศ ภูเก็ตปรับมากสุด10บาท
ที่กระทรวงแรงงาน นายสุนันท์ โพธิ์ทอง รองปลัดกระทรวงแรงงาน ประธานอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองค่าจ้างกลาง เปิดเผยหลังประชุมอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองค่าจ้างกลางพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2554 ว่า การพิจารณาอัตราค่าจ้างตามที่อนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดเสนอมาระหว่าง 2-11 บาทโดยมี 26 จังหวัดที่เสนอขอปรับค่าจ้างต่ำกว่า 5 บาท อนุกรรมการวิชาการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับเพิ่มอีก 5 บาท ทั้ง 26 จังหวัด อาทิ น่าน ที่ขอปรับขึ้น 4 บาท จากเดิม 152, ศรีษะเกษ 2 บาท จากเดิม 152 ,ประจวบคีรีขันธ์ 3 บาท จากเดิม 164 บาท, เพชรบูรณ์ 2 บาทจากเดิม 158 ส่วนกรุงเทพฯและปริมลทล มีมติเห็นตรงกันให้เพิ่มเป็นอัตราเดียวที่ 213 บาทต่อวัน จากเดิม 206บาทซึ่งขึ้นมา 7 บาท ขณะที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นจังหวัดแห่งการท่องเที่ยว ที่ประชุมมีมติให้ปรับเป็น 214 บาท จากเดิมอยู่ที่ 204 บาท ซึ่งถือว่าได้ปรับเพิ่มเยอะที่สุดขึ้นมา 10 บาท ส่วนจังหวัดอื่นๆที่ประชุมมีมติปรับเพิ่มตามที่อนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดเสนอ
“โดยหลักการที่จะนำมาเป็นหลักพิจารณาในปีนี้ เราจะพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ลูกจ้างเสียเปรียบมาตลอดในระยะเวลา 10 ปี โดยที่ได้รับอัตราค่าจ้างต่ำกว่าเงินเฟ้อ เราจะต้องชดเชยในจุดนี้ บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ซึ่งในจุดนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น 4% และต้องไปดูอัตราเงินเฟ้อของแต่ละจังหวัดว่าเป็นอย่างไร เปรียบเทียบกลุ่มลักษณะจังหวัด เช่น จังหวัดที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวว่าจะไปกระทบต่อค่าครองชีพที่เป็นจริงในแต่ละจังหวัดที่เป็นธุรกิจท่องเที่ยว และเราก็มากำหนดค่าจ้างในแต่ละจังหวัด หลังจากที่ได้ข้อสรุปเป็นรูปธรรมในเชิงตัวเลข จะนำมาประเมินกับค่าจ้างขั้นต่ำ อัตราเงินเฟ้อข้างหน้า ดูข้อเท็จจริงในหลายจังหวัด” นายสุนันท์กล่าว
นายสุนันท์ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นอนุกรรมการได้พิจารณามาตารการในการลดต้นทุน การผลิต เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการด้วย โดยมีข้อเสนอการพัฒนาลูกจ้างของสถานประกอบการจะช่วยให้ ประสิทธิภาพแรงงานสูงขึ้น โดยที่คณะอนุกรรมการได้เสนอเพิ่มเติมไปว่า รัฐบาลน่าจะอุดหนุนผู้ประกอบการไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่จะพัฒนาประสิทธิภาพแรงงาน เช่นอาจจะเพิ่มการอบรมก่อนเข้าทำงาน ประมาน 10- 15 วัน เพื่อให้แรงงานแรกเข้าตรงกับความต้องการของนายจ้างต่อไป
ด้านนายณรงค์ เพชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความคิดเห็นว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ ไม่น่าจะมีผลอะไรกับผู้ใช้แรงงาน เพราะเกณฑ์การปรับอ้างอิงจากค่าครองชีพปี 2553 แล้วนำมาใช้ในปี 2554 ซึ่งหมายความว่าคณะกรรมการไม่ได้มองถึงอนาคต นอกจากนี้ยังไม่มีมาตรฐานที่แน่ชัดว่า ตัวเลขที่ปรับขึ้นจังหวัดละ 2-11 บาทนั้นอิงตามมาตรฐานใดกันแน่
ขณะที่นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า การปรับค่าจ้างในแต่ละปี เป็นไปในรูปแบบเดิมมาโดยตลอด เนื่องจากไม่ได้นำฐานข้อมูลอาชีพมาพิจารณาร่วม รวมถึงไม่ได้นำตัวเลขอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพของผู้ใช้แรงงานมาพิจารณา ซึ่งการปรับขึ้นดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการพิจารณาค่าจ้างในแต่ละจังหวัด สุดท้ายแล้วลูกจ้างกลับถูกซ้ำเติม เพราะราคาสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีราคาค่าขนส่งสินค้า ส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานก็ยังมีคุณภาพชีวิตย้ำอยู่กับที่ ไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ตามที่รับบาลต้องการ
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้แรงงานก็ยังคงต้องการอัตราค่าจ้างที่ 421 เท่ากันทั่วประเทศ แต่หากไม่ได้ตามเสนอก็ควรที่ยึดตามหลักที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสนอในอัตรา 250 บาท ซึ่งรัฐบาลควรเข้ามาควบคุมค่าจ้างให้เป็นประโยชน์กับผู้ใช้แรงงานมากกว่านี้ หากคนงานได้ค่าจ้างเหมาะสม คุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ประกอบการย่อมได้ประโยชน์ตามไปด้วย โดยเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพ และได้ลูกจ้างที่รักในองค์กร
ส่วนนายปัณณพงศ์ อิทธิ์อรรถนนท์ เลขาธิการสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าไทย กล่าวว่าอัตราค่าแรงในเขตกทม.และปริมณฑล 213 บาทถือว่าเป็นตัวเลขที่อยู่ในกรอบการพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้างกลางซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 5, 7 และ 10 บาท การเพิ่มขึ้นมา 7 บาทจากเดิมที่ตัวเลขอยู่ที่ 206 บาทเป็นอัตราไม่สูงไม่ต่ำเกินไปอยู่ในความสามารถของนายจ้างที่สามารถจ่ายได้ ส่วนตัวเลขค่าจ้างของต่างจังหวัดต้องดูรายจังหวัดว่ามีการขยับตัวเลขสูงต่ำและเหตุผลประกอบการพิจารณามากน้อยเพียงใด
“ในกทม.เราดูแล้วคิดว่าให้ได้ถึง 10 บาท ส่วนอีก 26 จังหวัดที่เพิ่มขึ้นมา 5 บาทก็พอรับได้แต่ต้องขอดูว่ามีจังหวัดไหนบ้าง แต่ขอตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยว่าช่วงนี้มีสถานการณ์น้ำท่วม โรงงานหลายๆแห่งยังจมน้ำอยู่การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะเป็นการเข้าไปซ้ำเติมผู้ประกอบการในระยะสั้นมากน้อยเพียงใด” นายปัณณพงศ์กล่าว
ขึ้นค่าจ้าง8-17บาท/'ภูเก็ต'สูงสุดมีผล1ม.ค.54
ดินแดง * ที่กระทรวงแรงงาน วันที่ 9 ธ.ค. นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรง งาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง เป็น ประธานการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ 18 เพื่อพิจารณาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2554 แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2554 ทั่วประเทศ ในอัตรา 8-17 บาท โดยพิจารณาจากตัวเลขค่าจ้างที่แต่ละจังหวัดเสนอมาเป็นหลัก พร้อมกับดูในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพ ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง รวมทั้งพิจารณาถึงการจ่ายชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าขั้นต่ำตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ส่วนต่างของค่าจ้างบางจังหวัดสูงถึง 70-80 บาท
ปลัดกระทรวงแรงงานระบุว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรอบนี้เพื่อต้องการรักษาอำนาจการซื้อของผู้ใช้แรงงาน ตลอดจนพัฒนาฝีมือแรงงานที่เริ่มเข้าทำงานใหม่ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในแต่ละวันอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะเริ่ม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็น ต้นไป
ทั้งนี้ จังหวัดที่ได้รับการปรับขึ้นต่ำสุด 8 บาท มี 7 จังหวัด โดยจังหวัดพะเยา ต่ำสุดคือ จาก 151 บาท เป็น 159 บาท, ศรีสะเกษ 152 บาท เป็น 160 บาท เป็นต้น ส่วนจังหวัดที่ปรับขึ้นมากที่สุด 17 บาท มี 1 จังหวัด คือภูเก็ต 204 บาท เป็น 221 บาท
นายสมเกียรติกล่าวว่า สาเหตุที่จังหวัดภูเก็ตได้รับการปรับขึ้นสูงสุด เพราะเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีค่าครองชีพสูง ซึ่งเดิมอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดเสนอปรับขึ้น 11 บาท แต่บอร์ดค่าจ้างกลางได้บวกค่าคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจอีก 6 บาท รวมเป็น 17 บาท
นายมนัส โกศล ประธานองค์การแรง งานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมถือว่าพอใจกับผลที่ออกมา อย่างไรก็ตาม อยากให้ ทางคณะกรรมการค่าจ้างกลับไปทบทวนจัง หวัดที่ได้รับการปรับขึ้นน้อยกว่า 10 บาท ทั้ง หมด 31 จังหวัด เพราะค่าคุณภาพชีวิตยังต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่มาก ซึ่งทางองค์การแรง งานฯ จะยื่นหนังสือถึงปลัดกระทรวงให้ปรับขึ้น ค่าแรงเพิ่มเติมในจังหวัดเหล่านี้ ในวันที่ 12 ธ.ค. 2553 รวมทั้งขอให้ชี้แจงเหตุผลกรณีปรับขึ้นค่าจ้างให้จังหวัดภูเก็ตถึง 17 บาท ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวที่ได้รับการปรับขึ้นสูงที่สุด.
***** หมายเหตุ รายละเอียดการกลั่นกรองค่าจ้างขั้นต่ำปี 2554
การพิจารณากลั่นกรองค่าจ้างขั้นต่ำ ปี2554[1].pdf